ตำรวจภาค3จับคนร้ายเลียนแบบในหนัง ทำอนาจารเด็กนักเรียนหญิง

ตำรวจภาค3จับคนร้ายเลียนแบบในหนัง ได้ทำการอนาจารเด็กนักเรียนหญิงที่กำลังนอนหลับในหอพักโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จว.นครราชสีมา

ด้วยเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2564 เวลาประมาณ 23.14 น. ต่อเนื่องจนถึง ถึงวันที่ 1 ธ.ค.64 เวลาประมาณ 02.09 น. (ครั้งที่ 1) และเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.64 เวลาประมาณ 01.44 น. – 02.21 น. (ครั้งที่2) มีคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ประกอบเหตุที่คล้ายกัน กล่าวคือ ได้บุกรุกเข้าไปในหอพักหญิงโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จว.นครราชสีมา แล้วได้กระทำการอนาจารเด็กนักเรียนหญิงที่กำลังนอนหลับในหอพัก โดยได้ใช้กรรไกรตัดที่ขากางเกงของนักเรียนหญิงและใช้มือลูบคลา จากนั้นได้ขโมยทรัพย์สินเป็นเงินสดของเด็กนักเรียนไปอีกจานวนหนึ่ง ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความหวาดกล้วให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนคณะครูอารจารย์ ผู้บริหารของโรงเรียนเป็นอย่างมาก ตามที่สื่อมวลชนให้ความสนใจและนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3,พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา, พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ ผบก.สส.ภ.3, พ.ต.อ.สุคนธ์ ศรีอรุณ รอง ผบก.สส.ภ.3,พ.ต.อ.สุริยา นาคแก้ว รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา, พ.ต.อ.สุกาญจน์ นิลอ่อน ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3, พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.โพธิ์กลาง ,พ.ต.ท.นราพงษ์ เตือนขุนทด รอง ผกก.สส.สภ.โพธิ์กลาง ,พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เทียม รอง ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.สุวนัย พิทักษ์ รอง ผกก.สืบสวน3 บก.สส.ภ.3, พ.ต.ท.พรเทพ ทุ้ยแป รอง ผกก.สส.ภ.จว.นครราชสีมา,พ.ต.ท.มณฑล หงส์กลาง รอง ผกก.สส.ภ.จว.นครราชสีมา,พ.ต.ท.วิชานนท์ บ่อพิมาย รอง ผกก.สส.สภ.เทพารักษ์, พ.ต.ท.สุชาติ ซ้อนพุดซา สว.สส.สภ.โพธิ์กลาง, พ.ต.ต.ณัฐพล เฉลิมนพคุณ สว.กก.สืบสวน.ภ.จว.นครราชสีมา,พ.ต.ต.สมพร ทองประดับ สว.กก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.3, พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เร่งดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พร้อมด้วยดร.ยลดา หัวงศุภกิจโกศล นายกอบจ.นครราชสีมา

โดยการบูรณาการของ ชุดสืบสวน กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา,ชุดสืบสวน สภ.โพธิ์กลาง และ ชุดสืบสวน กก.สืบสวน3 บก.สส.ภ.3 ได้ดาเนินการสืบสวนตำหนิรูปพรรณและยานพาหนะที่คนร้านใช้ในวันเกิดเหตุ จากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องสงสัย คือ นายธงชัยหรือโก้ พันชนะ อายุ 32 ปี

มีภูมิลาเนาอยู่ที่ อ.ด่านขุนทด จว.นครราชสีมา ปัจจุบัน ไปมีภรรยาและพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.สูงเนิน จว.นครราชสีมา ซึ่งมีตำหนิรูปพรรณสัณฐานตรงกับคนร้าย

ชุดสืบสวน จึงประสานข้อมูลกับ พนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดนครราชสีมา ที่ 17/2565 และ ที่ 18/2565 ลงวันที่ 16 มกราคม 2565 ในข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสาหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นโดยประการใดๆ ,บุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นด้วยประการใดๆ และทำอนาจารฯ”

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จึงได้จับกุมตัวนายธงชัยฯ ตามหมายจับของศาลดังกล่าว นาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งนายธงชัยฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่าตนเป็นผู้ก่อเหตุทั้งสองครั้งจริง

***********************************************

เปิดโครงการแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติดในรูปแบบค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดิน รุ่นที่1

#เปิดโครงการแก้ไขปัญหาผู้เสพยาเสพติดในรูปแบบค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดิน รุ่นที่1

วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๙.๐๐ น.

#ณโรงแรมโกลเต้นแลน์ดรีสอร์ท ตำบลไชยมงคล อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา นายณรงค์ วรหาญ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและ

ปราบปรามยาเสพติดภาค ๓ เป็นประธานพิธี

เปิดพร้อมนางสาวฐิติพร เต็มบุญประเสริฐสุข

พนักงานคุมประพฤติชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติจังหวัดนครราชสีมากล่าวรายงาน โครงการแก้ไขปัญหา ผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดในรูปแบบค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดินจังหวัดนครราชสีมา รุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕ในวันนี้

ตามนโยบายรัฐบาล/ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีใด้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติที่องค์กรทุกภาคส่วน ต้องเข้ามามีบทบาท/และส่วนร่วมในการขับเคลื่อน/ให้ปัญหาลดน้อยลงไม่ส่งผลกระทบ/ต่อการดำเนินชีวิตและความเดือดร้อนในสังคมของประชาชนโดยรวม

กระทรวงยุติธรรม โดยท่านสมศักดิ์ เทพสุทิน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จึงมีนโยบายให้กรมคุมประพฤติ

โครงการแก้ไขปัญหาผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด ในรูปแบบค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๒ รุ่น ในปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๕ ซึ่งการจัดโครงการครั้ง เป็นครั้งที่ ๑ โดยการบูรณาการร่วมกับ สำนักงาน ปปส.ภาค ๓ กรมการปกครอง กอ.รมน.จังหวัดนครราชสีมา/จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา/สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครราชสีมา/วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา/สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา/ภาคประชาสังคม

และภาคีเครือข่ายต่างๆ ประกอบกับจังหวัดนครราชสีมาได้ตระหนักในปัญหาดังกล่าว จึงได้กำหนดให้เป็นวาระของจังหวัดโดยให้ทุกภาคส่วน

ขับเคลื่อนไปด้วยกันและมีการบูรณาการทำงานอย่างจริงจังโดยการนำผู้เสพ/ผู้ติด ที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานคุมประพฤติจังหวัด

นครราชสีมา เข้ารับการอบรม จำนวน ๕0 คน

การดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหา/ผู้เสพยาเสพติดโดยใช้

ระบบค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดินจังหวัดนครราชสีมาดำเนินการโดยวิทยากร

แกนนำศูนย์ขวัญแผ่นดินที่ผ่านการอบรมพัฒนาศักยภาพวิทยากรแกนนำ

และขยายผลการแก้ไขปัญหายาเสพติดในรูปแบบค่ายศูนย์ขวัญแผ่นดิน

โดยเน้นให้ได้รับการดูแลทั้งด้านสุขภาพ จิตใจ  และสร้างแรงจูงใจให้เกิดการยอมรับ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเชิงลบ สร้างพฤติกรรมเชิงบวก

การควบคุมตนเอง ให้มีทักษะการปรับตัวเข้ากับสังคมและสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสมอันเป็นการคืนศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์และไม่ให้กลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก

จับกุมเครือข่าย ขบวนการดาวน์รถแลกเงินส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน

จับกุมเครือข่ายขบวนการดาวน์รถแลกเงิน ส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน

ตามบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มายัง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปจร.ตร. และ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ตำรวจ ภูธรภาค 3 ปราบปรามจับกุมการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะเรื่องการนำรถไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน

ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.ฐากูร นัทธีศรี รอง ผบช.ภ.3/ผอ.ศปจร.ภ.3 พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.สุริยา นาคแก้ว รอง ผบก.ฯ ปรก.รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา

ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.พรเทพ ทุ้ยแป รอง ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.มณฑล หงษ์กลาง รอง ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.วิชานนท์ บ่อพิมาย สว.กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ต.ชัยพล คงขุนทด สว.กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ต.เกรียงศักดิ์ สุดจิตจูล สว.กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ต.ณัฐพล เฉลิมนพกุล สว.กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา สืบสวนจับกุมคดีดังกล่าว

คดีนี้สืบเนื่องจาก นโยบายของสำนักงานงานตำรวจแห่งชาติ ให้ปราบปรามจับกุมการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และนโยบายของ พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ให้กวดขันจับกุม รถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนเป็นประจำทุกเดือนนั้น เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ดอนแสนสุข จ.นครราชสีมา ได้ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 6 คัน ซึ่งทั้งหมดเป็นรถจักรยานยนต์ใหม่ ได้ที่ริมถนนท้ายหมู่บ้านปรางค์ครบุรี ต.ครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ไว้ทำการตรวจสอบ เบื้องต้นทราบว่าเป็นรถที่ถูกลำเลียงมาจาก จ.ชลบุรี จากการสืบสวนขยายผลร่วมกับ กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา สามารถตรวจยึดรถจักรยานยนต์ได้เพิ่มเติมในพื้นที่ อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ 4 คัน และ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว 4 คัน รวม 14 คัน ซึ่งทั้งหมดเป็นรถที่กำลังลำเลียงจะนำไปส่งยังประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณชายแดน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว

กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ตำรวจภูธรภาค 3

จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบและทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเรื่อยมาจนกระทั่งนำไปสู่การขออนุมัติศาลออกหมายจับ และเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 6 ราย ดังต่อไปนี้

1. นายเสกสรรค์ พันธ์ดี อายุ 39 ปี 13 ม.5 ต.คลองดำหรุ อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี (ตัวแทนนายทุนต่างชาติ)

2. น.ส.สรยา โต๊ะยีหวัง อายุ 34 ปี 29/2 ม.14 ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา (นายหน้า)

3. น.ส.ลำไพร มั่นคง อายุ 45 ปี 344 ม.9 ต.บ้านฝาง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น (ผู้เช่าซื้อ)

4. น.ส.ศุภิสรา สอนเจริญ อายุ 26 ปี 178 ม.12 ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว (ว่าจ้าง/จัดหาทีมขน)

5. นายสุทัศน์ สร้อยดั้น อายุ 18 ปี 178 ม.12 ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว (หัวหน้าทีมขน)

6. นายพงศ์พัทธ์ ศรีมาตร อายุ 25 ปี 14 ม.8 ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว (ทีมขน)

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันลักทรัพย์ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป, สมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดๆซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด อันเป็นความผิดฐานซ่องโจร, หรือร่วมกันรับของโจร”

โดยพบว่าผู้ต้องหาดังกล่าวร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะของขบวนการดาวน์รถแลกเงิน ส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันทำดังนี้ (1) นายทุนต่างชาติ(ประเทศเพื่อนบ้าน) แจ้งยี่ห้อ/รุ่น รถจักรยานยนต์ที่ต้องการ (2) ตัวแทนนายทุนต่างชาติประกาศในสื่อสังคมออนไลน์ รับซื้อ/ดาวน์รถจักรยานยนต์มาแลกเงิน (3) กลุ่มนายหน้าติดต่อกับผู้ที่ต้องการเงินให้มาดาวน์รถฯ (เช่าซื้อ) เพื่อแลกเงิน (4) ผู้เช่าซื้อนำรถฯ ส่งมอบให้กับนายหน้าเพื่อแลกกับเงินที่ต้องการ (5)นายหน้ารวบรวบรถส่งให้กับตัวแทนนายทุนต่างชาติ (6) นายทุนต่างชาติ (ประเทศเพื่อนบ้าน) สั่งการให้ทีมขนดำเนินการนำรถที่รวบรวมมาได้ไปส่งมอบ ณ จุดนัดหมายเพื่อนำข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจากการสืบสวนเส้นทางการเงิน พบว่าขบวนดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 100 ล้านบาท

จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังอย่าหลงผิดเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว โดยไปดาวน์รถให้ผู้อื่นเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย แล้วมาแจ้งความว่ารถหายเพื่อเอาประกัน นอกจากจะถูกดำเนินคดีในฐานะผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิดแล้ว ท่านจะต้องถูกดำเนินคดี ข้อหาแจ้งความเท็จฯ อีกด้วย สำหรับบริษัทประกันภัย หรือผู้ให้บริการสินเชื่อ (ลิสซิ่ง/ไฟแนนซ์) หากพบว่าได้รับความเสียหายในลักษณะดังกล่าว ขอให้ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“”ตำรวจภูธรภาค3 กวาดล้างกัญชาข้ามชาติ””

  ตามนโยบายรัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ด้านการแก้ไขปัญหา    ยาเสพติด เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564  กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งระบบ โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปราม แหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ทั้งพื้นที่แนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน โดยให้เป็นการแก้ไขปัญหาภายในของประเทศด้วยกฎหมายไทยและหลักสากล  

ภายใต้การอำนวยการของ  พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์   รอง ผบ.ตร.(ปป)  ได้นำนโยบายรัฐบาลมาเป็นแนวทางในการป้องกันปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวสู่การปฏิบัติทุกพื้นที่

          ตำรวจภูธรภาค ๓ โดย พล.ต.ท.สมประสงค์  เย็นท้วม ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.คีรีศักดิ์  ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภ.3 (หน.กม) /รับผิดชอบ ศอ.ปส.(ยาเสพติด), พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3 (หน.สส) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงคต์  เรืองเดช ผบก.ภ.จว.อำนาจเจริญ และ ล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ ผบก.สส.ภ.3 ,พ.ต.อ.สมบัติ  หงส์ทอง รอง ผบก.สส.ภ.๓ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด เร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ระดมกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดนและพื้นที่ชั้นใน

เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔  กก.สสส.ภ.จว.อำนาจเจริญ โดย พ.ต.อ.อรรพร สุริยเลิศ ผกก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ  ,พ.ต.ท.ไมตรี บุญมาตย์ รอง ผกก.ฯ ได้ทำการสืบสวนทราบว่าจะมีการลักลฃอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาจากพื้นที่ชายแดนมายังพื้นที่ตอนใน จึงได้ประสานข้อมูลร่วมทกับ บก.สส.ภ.๓ โดย พ.ต.อ.สุกาญจน์  นิลอ่อน ผกก.สืบสวน 3 บก.สส.ภ.๓,พ.ต.อ.สวิทธิชัย  ธัญญาบาล ผกกห.

สืบสวน ๒ บก.สส.ภ.๓ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ และ บก.สส.ภ.๓   

ร่วมกันจับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 1 ราย  ผู้ต้องหา ๔ คน  ดังนี้   

๑)  นายธชกร หรือ บอล  ปวงรังสี    อายุ ๓๙  ปี  ที่อยู่ ๑/๘๗ หมู่ที่ ๕ ต.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี

๒)  นายทวีวุฒิ หรือนิว  ถาวรนุวงศ์  อายุ ๓๒ ปี ที่อยู่ ๑๕๑ หมู่ที่ ๑๑  ต.ทุ่งก่อ อ.เวียงเชียงรุ้ง  จ.เชียงราย 

๓) นายวฤทธิ์  พุ่มพวง อายุ ๒๗ ปี ที่อยู่ ๙/๑ หมู่ที่ ๓ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

๔) นายวิทวัช หรือท๊อป  เรียงแก้ว  อายุ  ๒๔ ปี ที่อยู่ ๓๖๕ หมู่ที่ ๕ ต.แจงงาม  อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี

พร้อมด้วยของกลาง

      ๑) กัญชาอัดแท่ง จำนวน 1,824 กก.

รถยนต์ตู้ จำนวน  3  คัน

๔) รถยนต์กระบะ ยี่ห้อฟอร์ด เรนเจอร์ สีเทา หมายเลขทะเบียน ผธ ๔๔๓๐ อุบลราชธานี จำนวน ๑ คัน

                       ***********************************************

ตำรวจภูธรภาค 3 แถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดของกลาง ยาบ้า 2 ล้านเม็ด ไอซ์ 60 กก. อี 9,000 เม็ด

ตำรวจภูธรภาค ๓ โดย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภ.3 (หน.กม) /รับผิดชอบ ศอ.ปส.(ยาเสพติด), พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3 (หน.สส) และ นายณรงค์ วรหาญ ผอ.สำนักงาน ปปส.ภาค ๓ ,นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด เร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ระดมกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดนและพื้นที่ชั้นใน และดำเนินการปิดล้อมตรวจค้น และการทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ ดำเนินการสืบสวนจับกุม ขยายผล เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๔ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ ผบก.สส.ภ.๓, พ.ต.อ.สมบัติ หงษ์ทอง, พ.ต.อ.ชลาสินธุ์ ชลาลัย, พ.ต.อ.เดชพล เปรมศิริ รอง ผบก.สส.ภ.๓ ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ยุทธพงษ์ รอดนวล ผกก.สืบสวน๑ บก.สส.ภ.๓, พ.ต.ท.ภูมิ ทองโพธิ์ รอง ผกก.สืบสวน ๑ บก.อก.ภ.3 พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก กก.สืบสวน ๑ บก.สส.ภ.๓

ร่วมกันจับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 1 ราย ผู้ต้องหา 2 คน ดังนี้
๑) นางประการ หรือ เตี้ย ช่วยแสง อายุ๔๑ ปี ภูมิลำเนา อ.บ้านผือ จว.อุดรธานี
๒) ด.ช.ป้อม (นามสมมติ) อายุ ๑๔ ปี ภูมิลำเนา อ.โขงเจียม จว.อุบลราชธานี
พร้อมด้วยของกลาง
๑) ยาบ้า บรรจุใส่ถุง รวมเป็นมัด ในกระสอบพลาสติก สีขาว จำนวน ๕ กระสอบ รวมจำนวนประมาณ ๑,๙๘๐,๐๐๐ เม็ด
๒) ยาอี ( Ecstasy) ชนิดเม็ดสีส้ม ปั้มรูปอุ้งตีนหมี จำนวนประมาณ ๙,๐๐๐ เม็ด
๓) สารไอซ์ บรรจุในถุงใส่ชาสีเขียวลายผลไม้ จำนวน ๖๐ ถุง น้ำหนักรวมประมาณ ๖๐ กิโลกรัม
๔) รถยนต์กระบะ ยี่ห้อฟอร์ด เรนเจอร์ สีเทา หมายเลขทะเบียน ผธ ๔๔๓๐ อุบลราชธานี จำนวน ๑ คัน
๕) โทรศัพท์มือถือ จำนวน ๒ เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ (ยาบ้า สารไอซ์และยาอี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ (ยาบ้า สารไอซ์ และยาอี) โดยผิดกฎหมาย”
สถานที่เกิดเหตุ บริเวณจุดกลับรถหน้าร้านธงฟ้ายายฉาตาคิด ถนนมิตรภาพ (ขาขึ้น) ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จว.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลาประมาณ ๐๖.๒๐ น.
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้สืบสวนทราบว่ามีเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด จะนำยาเสพติดข้ามฝั่งโขงมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลำเลียงเข้าสู่กรุงเทพฯ และกระจายยาเสพติดไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยจะลำเลียงผ่านพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ในคืนวันที่ ๓ ตุลาคม 2564 จึงได้นำกำลังเฝ้าจุด และวางแผนเข้าจับกุม ต่อมาสามารถตรวจยึดยาเสพติดได้ที่บริเวณปากซอยไม่มีชื่อริมถนนมิตรภาพ (ขาล่อง) ฝั่งตรงข้ามเยื้องวัดใหม่บ้านดอน ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา จว.นครราชสีมา ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองได้ขับรถหลบหนีในขณะเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม และสามารถติดตามจับกุมตัวได้บริเวณจุดกลับรถหน้าร้านธงฟ้ายายฉาตาคิด ถนนมิตรภาพ (ขาขึ้น) ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จว.นครราชสีมา และได้ทำการซักถามขยายผลรับว่าได้รับการว่าจ้างมาจากนายสนุ๊ก (ไม่ทราบชื่อจริง) ให้เป็นคนขับรถนำทางทีมขนยาเสพติด ในราคาเที่ยวละ ๖๐,๐๐๐ บาท โดย นางประการฯ เป็นคนขับ ส่วน ด.ช.ป้อม หลานชาย เป็นคนช่วยดูทาง และเป็นผู้ขานตัวเลขหลักกิโลเมตร เพื่อเช็คระยะห่างระหว่างรถนำกับรถที่ขนยาเสพติด ขณะขับรถนำรถขนยาเสพติด สังเกตเห็นการติดตามของเจ้าหน้าที่ จึงให้ทีมขนหลบเข้าซอยทิ้งของไว้ เพื่อขนถ่ายย้ายของเมื่อปลอดภัย เมื่อเข้าใจว่าปลอดภัยแล้วจึงขับรถเข้ามาตรวจสอบย้ายของ จึงถูกเจ้าหน้าที่ติดตามตรวจพบและจับกุมตัวได้ นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และชุดจับกุมจะได้ทำการสืบสวนขยายผลถึงเครือข่ายผู้ค้าที่เกี่ยวข้องต่อไป

กองทัพภาคที่ 2 จัดพิธีรับ – ส่งหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 2

กองทัพภาคที่ 2 จัดพิธีรับ – ส่งหน้าที่ แม่ทัพภาคที่ 2 ระหว่าง พลเอก ธเนศ วงศ์ชะอุ่ม รองเสนาธิการทหาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กับ พลโท สวราชย์ แสงผล แม่ทัพภาคที่ 2 ท่านใหม่ โดยได้ลงนามในเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ฯ ณ ห้องประชุม 1 อาคารกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2
.
จากนั้นได้กระทำพิธีรับ – ส่งหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 ณ ลานหน้าสโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่ง พลเอก ธเนศฯ ได้กล่าวมอบหน้าที่และการบังคับบัญชา ส่งมอบธงประจำหน่วยให้กับ พลโท สวราชย์ฯ โดยมีหมู่ธงเกียรติยศ จากหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 2 จำนวน 81 หมู่ธง และคณะข้าราชการกองทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วยสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองทัพภาคที่ 2 ร่วมในพิธีฯ
.
พลเอก ธเนศฯ รองเสนาธิการทหาร กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารของชาติ นับเป็นเกียรติ และความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต ที่ได้ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตลอดระยะเวลาของการทำงานรับใช้ประเทศชาติ และดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 มีความมุ่งมั่นในการทำให้กองทัพภาคที่ 2 มีความมั่นคง เข้มแข็ง มีเอกภาพ สามารถหยัดยืนอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรีเป็นสถาบันหลัก ที่พร้อมดูแลความมั่นคงปลอดภัยและแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติตลอดจนเป็นที่พึ่งพาของพี่น้องประชาชน ในทุกๆ สถานการณ์ และเชื่อมั่นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ท่านใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความรู้ ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ ที่จะนำพากองทัพภาคที่ 2 ไปสู่การพัฒนาในทุกๆ ด้าน พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ และภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพื่อรักษาและเสริมสร้าง รักษาผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนจะปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา กำกับดูแล กำลังพลให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต มีความรักสามัคคี ภายใต้จิตสำนึกและอุดมการณ์ของความเป็นทหารอาชีพ อย่างเต็มความสามารถ
.
พลโท สวราชย์ฯ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า พร้อมที่จะปฏิบัติราชการในตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 2 อย่างเต็มขีดความสามารถ และพร้อมที่จะปฏิบัติงานร่วมกับเพื่อนทหารทุกนายอย่างจริงจัง และจริงใจ เพื่อให้ กองทัพภาคที่ 2 เป็นหน่วยที่มีศักยภาพ ในการปฏิบัติภารกิจทุกรูปแบบ ให้ปรากฏผลสัมฤทธิ์ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกองทัพ และประเทศชาติต่อไป

การประชุมเสวนากำหนดแนวทางการป้องกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและการป้องกันอุบัติเหตุในการจราจร และพิธีลงความร่วมมือ (IMOU)

การประชุมเสวนากำหนดแนวทางการป้องกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและการป้องกันอุบัติเหตุในการจราจร และพิธีลงความร่วมมือ IMOU)ตาม “โครงการบูรณาการความร่วมมีอระหว่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมากับ ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ในการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย Safety Zoneในจังหวัดนครราชสีมา”
วันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๖.๓๐ น.ณ ห้องประชุมลำตะคอง ขั้น3 โรงแรมแคนทารี ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมืองอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
โดย ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศลายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ท่าน พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา สบ ๙ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) นายกอบชัย บุญอรณะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาพล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.3.และท่านผู้มีเกียรติ ทุกท่าน

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา /กับตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ในวันนี้จังหวัดนครราชสีมาเป็นเมืองใหญ่ มีศักยภาพในทุกๆ ด้าน ครบทั้งทรัพยากรทางธรรมชาติและภูมิอากาศที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาเมืองการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เป็นภารกิจหนึ่งที่ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน/ ซึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ได้เล็งเห็นความสำคัญในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งเศรษฐกิจจะพัฒนาได้ต้องเชื่อมั่นในความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
วัตถุประสงค์ของโครงการ
๑.เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล /นโยบายของจังหวัดนครราชสีมา นโยบายของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๓ และนโยบายของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา
๒.เพื่อบูรณาการการทำงานด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนทั่วไป / และประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา โดยถือประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ
๓.เพื่อสร้างความเข้มแข็งในระบบรักษาความปลอดภัย ให้มีความพร้อมสามารถป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ปัญหาทางสังคม ที่อาจจะเกิดขึ้น /ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมและมีมาตรฐานในระดับสากล
๔.เพื่อสร้างความตระหนักด้านการรักษาความปลอดภัย ในองค์กรพร้อมเตรียมรับการเข้าสู่ยุคประเทศไทย ๔.๐ / โดยสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดงบประมาณ ดำเนินการ ดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๔ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ครอบคลุม ๑๐ อำเภอ
นำร่อง ได้แก่

(๑) อำเภอปากช่อง

(๒) อำเภอด่านขุนทด

(๓) อำเภอสีคิ้ว
(๔) อำเภอสูงเนิน

(๕) อำเภอเมือง
(๖) อำเภอโนนสูง
(๗) อำเภอคง
(๘) อำเภอโนนแดง

(๙) อำเภอสีดา
(๑๐) อำเภอบัวลาย
ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕ จำนวน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ พ.ศ.๒๕๖๖จำนวน ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ครอบคลุมพื้นที่ ๓๒ อำเภอ รวม ๙๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ดังนั้น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและมีความปลอดภัย โดยการลดโอกาส ลดปัจจัยเสี่ยง และความล่อแหลมต่อการเกิดอาชญากรรมในเขตพื้นที่ เพื่อเป็นการป้องปรามอย่างเป็นรูปธรรม/และบังเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ ตานโยบายรัฐบาล และนโยบายจังหวัดนครราชสีมา /ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา จึงได้จัดทำโครงการบูรณาการความร่วมมือ/ระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา กับตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เพื่อกำหนดพื้นที่ปลอดภัย(Safety Zone) ในจังหวัดนครราชสีมา โดยแบ่งภารกิจในการดำเนินงาน/ ตามความถนัดและเหมาะสมอีกด้วย

ฝนถล่มถนนขาดเส้นท่องเที่ยว น้ำตกวังเณร ชลประทานรุดซ่อมแซมช่วยชาวบ้าน

วันที่ 16 กันยายน 2564 นายสิทธิพล เสงี่ยม ผู้อำนวยการศูนย์ ปภ. เขต 5 นครราชสีมา มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ส่วนป้องกันและปฏิบัติการร่วมกับส่วนสนับสนุนทรัพยากรกู้ภัย ดำเนินการติดตั้งสะพานถอดประกอบ (Bailey Bridge) พื้นที่ตำบลมะเกลือเก่า อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากน้ำกัดเซาะถนนเลียบคลองส่งน้ำชลประทาน ที่ใช้สัญจรเชื่อมต่อบ้านมะเกลือเก่า หมู่ที่ 1 กับหมู่ที่ 2 ตำบลมะเกลือเก่า อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เพื่อให้ประชาชนใช้เส้นทางในการสัญจรไปมาได้ตามปกติ มีประชาชนได้รับประโยชน์ 700 ครอบครัว 1,900 คน

“จับกุมแก๊ง ตำรวจปลอม ตระเวนชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ”

“จับกุมแก๊ง ตำรวจปลอม ตระเวนชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ”
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน มีเหตุประทุษร้ายเกี่ยวกับทรัพย์ ในพื้นที่ ภ.3 เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีหลายคดีเป็นการประกอบเหตุ โดยคนร้ายได้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข่มขู่ จะทำร้ายผู้เสียหายก่อน เอาทรัพย์สิน แล้วหลบหนีไป
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.3 ได้กำชับให้ทุก ภ.จว.หามาตรการในการระวังป้องกัน และเร่งรัดสืบสวนจับกุมคนร้ายที่ประกอบเหตุให้ได้โดยเร็ว โดยมอบหมาย พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3 ควบคุมการปฏิบัติ
ต่อมาวันที่ 6 กันยายน 2564 อำนวยการโดย พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ ผบก.สส.ภ.3 พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา , พ.ต.อ.สมบัติ หงษ์ทอง, พ.ต.อ.ประสงค์ เรืองเดช พ.ต.อ.ชลาสินธุ์ ชลาลัย, พ.ต.อ.เดชพล เปรมศิริ รอง ผบก.สส.ภ.3, พ.ต.อ.ณรงค์ เสวก รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ยุทธพงษ์ รอดนวล ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3
จับกุมตัว นายเจษฎา ชิตประเสริฐ อายุ 31 ปี หมายจับของศาลจังหวัดสีคิ้ว ที่ 81/2564 ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2564

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันชิงทรัพย์(ลักทรัพย์ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์นั้นไป) โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน”
พร้อมด้วยของกลาง ประกอบด้วย
1.รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อมาสด้า 2 สีเทาดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน
2.ทะเบียนรถยนต์ กฉ 2435 สุรินทร์ จำนวน 2 แผ่น
3.เสื้อผ้าที่ใช้ในการก่อเหตุ จำนวน 1 ชุด
จากการซักถาม นายเจษฎา ชิตประเสริฐ รับว่า ตนพร้อมพวกที่หลบหนี เป็นผู้ก่อเหตุจริง โดย ครั้งที่ 1 ชิงทรัพย์ในพื้นที่ สภ.จอหอ ได้ทรัพย์สินไปประมาณ 20,000 บาท ครั้งที่ 2 ชิงทรัพย์ในพื้นที่ สภ.หนองสาหร่าย ได้ทรัพย์สินไปประมาณ 108,000 บาท และครั้งที่ 3 บุกรุกเข้าไปในบ้านเพื่อชิงทรัพย์ ในพื้นที่ สภ.จอหอ แต่ไม่ได้ทรัพย์สินไป โดยวิธีการของคนร้าย จะสะกดรอยติดตามเหยื่อ ที่ดูภูมิฐาน มีฐานะ มีการเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง หรือผู้ชายตัวเล็ก เมื่อสบโอกาส ก็จะแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เรียกรถยนต์ให้จอด หรือขับรถยนต์ปาดหน้าให้จอด ทำท่าทีตรวจสอบความผิด และใช้อาวุธข่มขู่ เอาทรัพย์สิน จากนั้นใช้ยานพาหนะติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอมหลบหนีไป
เหตุเกิดที่ หมู่บ้านบ่อทอง ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๐๐ น.

จับกุมตัวได้ที่ บริเวณบ้านเลขที่ 110 ม.6 ต.ทุ่งสว่าง อ.ประทาย จ.นครราชสีมา
จากการสืบสวน เชื่อว่าคนร้ายกลุ่มนี้ นอกจากที่รับสารภาพแล้ว น่าจะเคยกระทำผิดหลายครั้ง ในหลายพื้นที่ หากประชาชนท่านใด ได้รับความเสียหาย ถูกคนร้ายกลุ่มนี้ชิงทรัพย์ สามารถร้องทุกข์เพิ่มเติม โดยประสานข้อมูลได้ที่ พ.ต.ต.อิทธิพล เพ็ญเดิมพันธ์ สว.ฯ โทร.093-4647453 (ชุดจับกุม) และ ร.ต.อ.ปรีชา มีผิว พงส.สภ.หนองสาหร่าย โทร.089-8617967 และ (044)938794 – 5

ตามมานาน !! ตำรวจภาค3 จับกุมผู้ต้องหาหลอกลวงเงินจากผู้เสียหายไป ๒,๔๒๘,๐๐๐ บาท

ตามมานานตำรวจภาค3 จับกุมผู้ต้องหาหลอกลวงเงินจากผู้เสียหายไป ๒,๔๒๘,๐๐๐ บาท
ภายใต้กำรอำนวยกำรของ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบช.ภ.๓ พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.๓ พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.สุริยา นาคแก้ว รอง ผบก.ฯ รรท.รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา ได้สั่งการให้ กองกากับการสืบสวนตารวจ ภูธรจังหวัดนครราชสีมา นาโดย พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.พรเทพ ทุ้ยแป พ.ต.ท.มณฑล หงษ์กลาง รอง ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.ท.วิชานนท์ บ่อพิมาย สว.กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา
พฤติกำรณ์ สืบเนื่องจาก ในห้วงปี พ.ศ.๒๕๕๔ ต่อเนื่องจนถึง พ.ศ.๒๕๕๖ ได้มีเหตุคดีสาคัญเกิดขึ้นและคนร้าย ได้ก่อเหตุในลักษณะเป็นขบวนการ โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมกันทาการหลอกลวงผู้เสียหายว่า สามารถจัดหางานเพื่อให้คนงานไปทางานที่ประเทศเกาหลีได้ โดยในคดีนี้ มีผู้เสียหาย หลงเชื่อและจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ เป็นจานวนหลายราย และ มีการแจ้งความดาเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มนี้ ในท้องที่เกิดเหตุทั้งหมด ๗ สภ. แบ่งเป็น จ.นครราชสีมา ๕ สภ. ได้แก่ สภ.จักราช,สภ.ประทาย,สภ.ห้วยแถลง,สภ.เมืองพลับพลา,สภ.ชุมพวง และ จ.บุรีรัมย์ ๒ สภ. ได้แก่ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ และสภ.ลาปลายมาศ โดยผู้เสียหายได้แจ้งความดาเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันจัดหางานเพื่อให้คนหางานไปทางานยังต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

หลอกลวงคนหางานว่าสามารถจัดหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้และจากการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดของผู้ถูกหลอกลวง” ซึ่งในขบวนการนี้ มีผู้ร่วมกระทาผิด ด้วยกันทั้งหมด ๖ คน ซึ่งผู้ต้องหาจานวน ๔ คน ถูกจับกุมและดาเนินคดีไปก่อนหน้านี้แล้ว ยังคงเหลือ ผู้ต้องหา ๒ สามีภรรยา ซึ่งเป็นตัวการสาคัญในคดีนี้ยังหลบหนีมานาน กว่า ๑๐ ปี คือ นายสมบุญ ดวงเกตุ และ นางบุญ ดวงเกตุ สามีภรรยา ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูล ผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ มีหมายจับคนละ ๑๑ หมายจับ รวม ๒๒ หมายจับ มูลค่าความเสียหายที่หลอกลวงเงินจากผู้เสียหายไป รวม ๒,๔๒๘,๐๐๐ บาท
เนื่องจากคดีนี้ เป็นคดีสาคัญที่มีลักษณะการก่อเหตุ ที่เป็นขบวนการ มีเหตุเกิดต่อเนื่องหลายท้องที่ มีผู้เสียหายจานวนมาก และยังมีมูลค่าความเสียหายกว่า ๒.๔ ล้านบาท พล.ต.ต.พรชัย นลวชัย ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผกก.สส.ภ.จว.นครราชสีมา เร่งรัดติดตามสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้มาดาเนินการตามกฎหมายโดยเร็ว
พ.ต.อ.ถิรเดช จันทร์ลาด ผกก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา ได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.วิชานนท์ บ่อพิมาย หัวหน้าชุด ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ กก.สืบสวน ภ.จว.นครราชสีมา พร้อมทีมสืบสวน ดาเนินสืบสวนจนทราบว่าในห้วงที่ผู้ต้องหาทั้งสองคนทราบว่า กาลังจะถูกออกหมายจับในคดีดังกล่าว ปรากฏว่า ผู้ต้องหาทั้งสอง ได้มีการไปทาหนังสือเดินทางไทย เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ผู้ต้องหาทั้ง ๒ คน ได้เดินทางข้ามไปยังประเทศกัมพูชา บริเวณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และได้เดินทางกลับเข้ามายังราชอาณาจักรไทย ในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ต่อมาในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๑๕๕๔ ผู้ต้องหา ได้เดินทางออกนอกประเทศ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปลายทางที่ประเทศเกาหลี

ชุดสืบสวน จึงได้ดาเนินการสืบสวนทางสื่อโซเชียลต่างๆ จนทราบว่า ผู้ต้องหาสองสามีภรรยานี้ ได้ไปทางานอยู่ที่ Cheongbuk-myeon, Pyeongtaek-si, Gyeonggi-do, Korea ประเทศเกาหลี จึงได้ทำหนังสือ จำก กก.สืบสวน ภ.จว.นครรำชสีมำ ถึง กองกำรต่ำงประเทศ สำนักงำนตำรวจแห่งชำติ แจ้งเรื่อง ขอควำมอนุเครำะห์ ติดตำมผู้ต้องหำหลบหนีต่ำงแดน จากนั้นประสานตารวจของเกาหลี ดาเนินการช่วยตรวจสอบข้อมูล จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๔ เจ้าหน้าที่สืบสวนตารวจเกาหลีได้ทาการจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองไว้ได้ในข้อหา “อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตหมดอายุ” และทางการเกาหลีจะต้องทาการสอบสวนความผิด และดาเนินการผลักดันกลับมายังประเทศไทย ต่อมาจึงได้ทาการประสานเจ้าหน้าที่ตารวจ กองการต่างประเทศ เพื่อประสานงานในการรับตัว
จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๔ ชุดสืบสวนได้รับแจ้งว่าผู้ต้องหาทั้ง ๒ คน ได้ถูกพลักดันจากประเทศเกาหลีและเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ด้วยเอกสารการเดินทางชั่วคราว และจะถึงประเทศไทยช่วงกลางคืน จึงได้ประสานกับตารวจตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและตารวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดาเนินการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดนครราชสีมา เพื่อดาเนินคดีตามกฎหมายต่อไป