ททท.โคราช ต้อนรับชาวคณะคาราวาน พิชิต20จังหวัดภาคอีสาน (26ก.ย.-3 ต.ค.61)

วันที่ 26 กันยายน 2561ณ.โรงแรมสีมาธานี จังหวัดนครราชสีมา เส้นทางคาราวานรถยนต์ส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวภาคอีสาน “อีสานแซบนัวครัวอีสาน Cool Isan จากวิถีถิ่นสู่วิถีเทรนด์” พิชิต20จังหวัดภาคอีสานโดยนายจรัสชัย โชคเรืองสกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ประธาน พร้อมด้วยนายสมชาย ชมภูน้อยผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  นางรุ่งทิพย์ บุกขุนทด ผอ.ททท.สำนักงานนครราชสีมา กล่าวรายงาน

นายชัชวาล วงศ์จร ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา และสำนักงาน ททท. ภาคอีสาน คณะคาราวาน-สื่อมวลชน ร่วมงาน กิจกรรมแนะนำแนวทางส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวปี 2562นครราชสีมา-ชัยภูมิ           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กิจกรรม งานเลี้ยงต้อนรับในครั้งนี้ให้ ใส่เสื้อลายดอก จะมีรางวัลให้ แก่คณะคาราวาน-สื่อมวลชนฯและมี วงดนตรี สร้างความสนุกสนานให้แก่คณะคาราวาน พร้อมอาหารเลิศรสเช่น ส้มตำผัดหมีโคราชด้วย ทั้งน้ำสมุนไพร รสชาติกล่มกล่อมและอิ่มอร่อยด้วยอาหารอาหารบุฟเฟ่ต์ ในการเลี้ยงต้อนรับคณะคาราวาน ในครั้งนี้   สำหรับเส้นทางท่องเที่ยว ในวันที่27กันยายน2561 นครราชสีมา ชัยภูมิหนองบัวลำภู  เลย ประมาณ 410 กิโลเมตร คณะคาราวานก็จะออกเดินทาง07.00น.

!!!ด่วนเพลิงลุกไหม้บริเวณเสาไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว

!!!ด่วนเพลิงลุกไหม้บริเวณเสาไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว

วันที่26กันยายน2561ช่วงบ่ายผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณสี่แยกวัดโคกภัยใกล้กับสี่แยกพีกาซัส ถนนมิตรภาพพื้นที่เขตตำบลหมื่นไวย อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา  ได้เกิดเพลิงลุกไหม้บริเวณสี่แยกวัดโค่กไผ่ตรงมุมแฟมิลี่มาร์ท ได้เกิดเพลิงลุกไหม้บริเวณเสาไฟฟ้าอย่างรวดเร็วทำให้เพลิงลุกไหม้แฟมิลี่มาร์ทบริเวณด้านหน้าและแผงลอยร้านขายลูกชิ้นและเต้าหู้ได้รับความเสียหายท่ามกลางประชาชนที่มามุงดูรวมถึงการจราจรที่ติดขัดก่อนที่จะมีพลเมืองดีโทรศัพท์แจ้งรถดับเพลิงจากอบต.หมื่นไวยมา ช่วยดับเพลิงไว้ทัน

จากการสอบถามประชาชนผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่าเพลิงไหม้กรณีแบบนี้เกิดขึ้นสองครั้งแล้วในบริเวณใกล้เคียงกันนี้เนื่องจากการเดินระบบสายไฟทั้งเคเบิลโทรศัพท์สายไฟเต็มไปหมดขาดการจัดระเบียบเรียบร้อยเช่นการเก็บสายไฟ. ควรเก็บให้เรียบร้อยไม่ใช่ปล่อยให้สายไฟทั้งขาดและใช้ได้ห้อยระโยงระยางแบบที่เกิดขึ้นวอนฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลตรงนี้ด้วยเพื่อแก้ไขและดำเนินการให้เรียบร้อยต่อไป <!-

ทลายรังยาบ้าล๊อดใหญ่ตำรวจจังหวัดนครราชสีมาแถลงข่าว

ล่อซื้อยาบ้า200เม็ด ให้ลูกน้องมาส่งแทนไม่รอดถูกขยายผลจัดล๊อตใหญ่กว่า36,550 เม็ดพร้อมยาไอซ์ สืบพบพึ่งพ้นไม่นานมาก่อเหตุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พลตำรวจตรีวัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ,พันตำรวจเอกสันติ เหล่าประทาย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยชุดจับกุม แถลงข่าวผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด พร้อมผู้ต้องหา 3 คนประกอบด้วย นายพรเทพ หรือหนุ่ม ศรอินทร์ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 540 หมู่ที่ 2 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ,นายชาญชัย หรือเบล เขตขุนทด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 ซอย 4 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ,นายสมศักดิ์ หรือตั้ม เข็มคง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 14 ตำบลหนงพระ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 36,550 เม็ด ยาไอซ์ 60.5 กรัม โทรศัพท์จำนวน 5 เครื่อง รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน

สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายพรเทพ กับพวกภูมิลำเนาอยู่อำเภอปากช่อง หลังจากพ้นโทษได้ติดต่อกับพักพวกที่พ้นโทษมาด้วยกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา ได้นำยาบ้าและยาไอซ์ มาจำหน่ายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่อำเภอปากช่องและอำเภอช้างเคียง จึงได้ทำการล่อซื้อยาบ้าจากนายพรเทพ หรือหนุ่ม จำนวน 1 ถุง 200 เม็ด ในราคา 7,000 บาท โดยนายพรเทพซึ่งระวังตัวอยู่แล้วจึงได้ส่งให้นายชาญชัย หรือเบล มาส่งมอบ หลังจากนั้นได้ถูกจับกุมบริเวณหน้าบ้านพักในหมู่บ้านโครงการจัดสรรหมู่บ้านโคกสง่า ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จากการค้นตรวจพบยาบ้าทั้งหมด 1,950 เม็ด ต่อมาจึงขยายผลจับกุมตัวนายพรเทพ หรือหนุ่ม ศรอินทร์ ที่บ้านพัก พร้อมของกลาง ยาบ้า 600 เม็ด ยาไอซ์ 60.5 กรัม หลังจากนั้นได้ขยายผลต่อเนื่องและมาจับกุม นายสมศักดิ์ หรือตั้ม เข็มคง ซึ่งเป็นลูกน้องนายพรเทพที่รับพักยาบ้าไว้โดยตรวจยึดของกลาง ที่บ้านพัก เป็นยาบ้า 34,000 เม็ด

จากการสอบถามนายพรเทพ หรือหนุ่ม ศรอินทร์ ผู้ต้องหา รับสารภาพว่า ตนเพิ่งพ้นโทษออกมาจากคดียาบ้าเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ ที่ผ่านมาและได้พ้นโทษออกมาพร้อมกับนายโอ๊ดและนายโอ (ไม่ทราบชื่อจริง) ซึ่งพึ่งพ้นโทษออกมา เป็นคู่ค้ายาบ้าที่อยู่ระหว่างขยายผลติดตามจับกุม โดยรับซื้อมาราค่ามัดละ 50,000 บาท และมาจำหน่ายต่อในราคา 70,000-100,000 ยาไอซ์ กรัมละ 500 บาท มาจำหน่ายต่อ ราคาละ 700 บาท ส่วนเงินที่ได้จะนำไปใช้จ่ายในครอบครัวและเที่ยวเตร่ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนออกติดตามผู้ต้องหาที่เหลือ พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ก่อนส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พร้อมเตรียมขยายผลติดตามจับกุม นายโอ๊ค กับนายโอ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ภาพ-ข่าวประสิทธ์ วนะชกิจ

ชาวบ้าน ต.จระเข้หิน โคราช แห่หาเห็ดผึ้งขมขายสร้างรายได้เสริม กิโลกรัมละ 50 บาท

ชาวบ้านแห่หาเห็ดผึ้งขมขายสร้างรายได้เสริม ชูเมนูลาบเคี้ยวหนึบหนับ ขมหน่อยๆอย่างน้อยต้องลองชิมสักครั้งในชีวิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่มีฝนตกติดต่อกันต่อเนื่องช่วงนี้ ในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านตลิ่งชัน ต.จระเข้หิน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เกิดมีเห็ดผึ้งขมงอกโผล่พื้นดินเป็นจำนวนมาก  ชาวบ้านหลากหลายพื้นที่รวมถึงชาวบ้านบ้านตลิ่งชันเอง พากันออกไปหาเก็บเห็นเพื่อนำมารับประทานเป็นอาหาร รวมถึงนำมาจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก ที่จะใช้โอกาสช่วงวันหยุดติดตามผู้ปกครองออกไปด้วย ถึงแม้ว่าเห็ดผึ้งขมจะไม่เป็นที่รู้จักและนิยมรับประทานเท่ากับเห็ดป่าชนิดอื่นอย่างเช่นเห็ดระโงก นางหงส์ หรือเห็ดโคน ก็ตาม

โดยเห็ดผึ้งขมนั้น เป็นเห็ดที่มีรูปร่างคล้ายกับเห็ดหอม และเห็ดตับเต่า ช่วงอ่อนดอกตูมจะมีสีม่วงเข้ม แต่หากแก่ดอกบานจะมีสีน้ำตาล มีรสชาติค่อนข้างขม แต่เป็นที่นิยมเพราะชาวบ้านเชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยา รักษาอาการปวดเมื่อย ลดอาการของโรคเบาหวาน  โดยราคาขายหากเป็นเห็ดสดราคาจะอยู่ที่ 40 บาท ต่อกิโลกรัม แต่หากต้มแล้วราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท โดยวันหนึ่งๆชาวบ้านจะหาเก็บเห็ดได้คนละ 3 – 5 กิโลกรัม ซึ่งถือถือเป็นรายได้เสริมอย่างดีของชาวบ้าน อย่างเช่นนางวิเชียร กลมกลาง อายุ 59 ปี และ นางแม้น ผลบุญ อายุ 66 ปี ชาวบ้านบ้านตลิ่งชันที่พากันออกมาหาเห็ด บอกว่าในช่วงนี้เป็นช่วงที่ฝนตกต่อเนื่อง อากาศร้อนอบอ้าว เห็ดผึ้งขมจึงออกดอกมากเป็นพิเศษ  ชาวบ้านนิยมที่จะนำไปต้ม แกง รวมถึงนำไปลาบ รสชาติก็จะออกขมเล็กน้อย แต่มีดีที่เห็ดมีความหนึบและเชื่อกันว่ามีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคเบาหวาน

โดยวิธีการทำลาบเห็ดผึ้งขมนั้น ต้องนำเห็ดมาทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ จากนั้นนำไปลวกกับน้ำเดือดใสใบฝรั่งลงไป เพราะจะช่วยทำให้เห็ดผึ้งขมคลายความขมออกส่วนหนึ่ง เพราะหากไม่ใส่ใบฝรั่งรสชาติเห็ดจะขมมากเกินไป ลวกสัก 2 – 3 น้ำ   จากนั้นก็นำมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่เครื่องลาบ อาทิข้าวคั่ว พริกป่น น้ำปลา ผักชีฝรั่ง หัวหอม ต้นหอม มะนาว ใบสาระแหน่ เป็นต้น คนให้เข้ากัน ชิมรสชาติปรุงเพิ่มตามพอใจ ตักเสิร์ฟพร้อมกับผักเครื่องเคียง กินกับข้าวสวยร้อนๆ รสชาติจะออกขมนิดๆ เคี้ยวหนึบหนับ ถูกใจชาวไทยอีสาน  อย่างนี้ต้องลองชิมดูถึงจะรู้เอง

พระพุทธรูปโบราณ อายุ 600-800 ปี “หลวงพ่อองค์ดำ” คู่วัดรวง โคราช

คณะสมาคมนักข่าว  จังหวัดนครราชสีมา ได้เข้าสักการะบูชา หลวงพ่อองค์ดำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโบราณ  อายุระหว่าง 600-800 ปี โดยมีประวัติไม่ปรากฏแน่ชัด ตามประวัติเล่าต่อกันมาว่า เป็นพระพุทธรูปองค์สีดำลอยมาตกในสระน้ำใกล้ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านจึงอัญเชิญไปประดิษฐานในวัดรวง เพื่อเป็นที่สักการะของคนทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก อธิฐานสิ่งใดมักจะได้สิ่งนั้น แม้แต่การสาบานก็จะเป็นจริงตามคำพูด และหากผู้ใดได้บูชาเหรียญพ่อพ่อองค์ดำไว้เพื่อเป็นสิริมงคลกับตนเอง เชื่อว่าจะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงได้ ปัจจุบันหลวงพ่อองค์ดำประดิษฐานอยู่ใน อุโบสถวัดรวง บ้านรวง ตำบลหนองงูเหลือม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา

หลวงพ่อองค์ดำ  มีลักษณะองค์เป็นศิลปะสมัยลพบุรี  เนื้อหินศิลาทรายสีดำสูงประมาณ1.20เมตรพบเห็นณ.หมู่บ้านบ้านชุมชนวัดรวงนี้ท่านศักดิ์สิทธ์เป็นที่รู้จักอย่างดีคนแถวนี้ในอดีตมีผู้มารักขโมยพระไปจากวัดต้องนำกลับมาคืนและเสียชีวิตตายโหงช่วงหนึ่งชาวบ้านต้องสร้างกรงเหล็กครอบองค์ท่านไว้…แต่ปัจจุบันได้เปิดอิสระให้ผู้ศรัทธามากราบไหว้อย่างใกล้ชิด

จากการสอบถามรักษาการเจ้าอาวาสวัดรวง  ตำบลหนองดูเหลือม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  จังหวัดนครราชสีมา  ทราบว่า วัดรวงแห่งนี้ เดิมที่พื้นที่เป็นป่ารกร้าง ไม่มีเมรุเผาศพ ต้องเผากองฟอน โดยใช้ฟืน แต่ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อองค์ดำ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัด  จึงได้ดลจิตดลใจ ให้สร้างเหรียญขึ้นมา เพื่อให้พี่น้องประชาชนบูชา จัดหารายได้เข้ามาในวัด เพื่อสร้างเมรุ และบูรณะอุโบสถ พอมีคนเริ่มรู้จักมากคน มีประชาชนแห่มาสักการะมากขึ้น ทางวัด จึงได้มีการทำลูกกรง ปิดกันไว้ไม่เช่นนั้น จะมาคนมาขโมยไป รักษาการเจ้าอาวาส ยังได้กล่าวอีกว่า ความเชื่อจากสิ่งที่มองไม่เห็น ของหลวงพ่อองค์ดำนี้ หากใครคิดร้าย  หรือขโมย จะต้องมีอันเป็นไปทุกคน

ความศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างที่ชาวบ้าน  ไปกราบสักการะหลวงพ่อองค์ดำ พระพุทธรูปคู่วัดรวงนี้คือ  หากใครที่จะทำอะไร ที่ไหน  หรือของหาย มักจะได้คืน และลูกศิษย์ลูกหาที่บูชาเหรียญไปและคล้องคอติดตัวไป ประสบอุบัติเหตุ ทั้งคันรถ รอดเพียงคนเดียว(เป็นความเชื่อที่เล่าต่อกันมา)

สำหรับประชาชนท่านใดที่อยากจะไปกราบไหว้สักการะขอพร  หลวงพ่อองค์ดำ วัดรวง ก็สามารถเข้าไปได้  โดยวัดแห่งนี้มีความเงียบ สงบ เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบการทำบุญอย่างยิ่ง

ขอเชิญร่วมปั่นจักรยานในโครงการ “โคราชคาร์ฟรีเดย์” 30 ก.ย.61

ขอเชิญร่วมปั่นจักรยานในโครงการ “โคราชคาร์ฟรีเดย์”
จัดโดย สโมสรกีฬาจักรยานจังหวัดนครราชสีมา และสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดนครราชสีมา

 

โคราชคาร์ฟรีเดย์ 2018
ในวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2561
ณ ลานนอนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี
ระยะทาง 40 กม.
เริ่มเวลา 06.00 น.
สตาร์ท เวลา 07.00 น. ณ ลานอนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารีย์
เข้าเส้น ที่ ลานอนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารีย์

***สมัครปั่นลงทะเบียบฟรี มีอาหารและน้ำบริการฟรี***

**ในกรณีต้องการเสื้อที่ระลึก เสื้อราคา 120 บาท**

รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้กับโรงพยาบาลขามทะเลสอ
และสนับสนุนนักกีฬาแข่งกีฬาแห่งชาติ

***สั่งเสื้อและสมัครได้ที่***
สโมสรกีฬาจักรยานจังหวัดนครราชสีมา หรืที่ร้านแชมป์สปอร์ต โคราช
โทร 044 267 411 หรือโอนเงินค่าเสื้อได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนอัษฎางค์
เลขที่บัญชี 538 445354 3 นายเฉลิมพล บัวสรวง

“อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน”สสส.โครงการต้นแบบโรงเรียนชุมชนวัดบ้านรวง

นครราชสีมา- โรงเรียนชุมชนวัดรวง โรงเรียนต้นแบบ“อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน”
เปิดแผน Fit พิชิตอ้วน@ชุมชนวัดรวง รณรงค์สุขภาพดีในโรงเรียน

(วันที่ 21 กันยายน 2561) โรงเรียนชุมชนวัดรวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา โรงเรียนต้นแบบ 1 ใน 25 โรงเรียนของโครงการสื่อสร้างสรรค์และกิจกรรมเพื่อรณรงค์โภชนาการสมวัย “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักและผลไม้) ปีที่3 ในภูมิภาค จัดนิทรรศการโครงการแผน Fit พิชิตอ้วน @ชุมชนวัดรวง ภายใต้การสนับสนุนจากแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำงานร่วมกับสำนักโภชนาการสมวัย สำนักงานบริหารแผนงานอาหารและโภชนาการ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายคนไทยไร้พุง และชมรมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทย หวังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กในโรงเรียนให้ เข้าใจและเท่าทันโรคอ้วน
โดยดร.ประภาส นวลเนตร ผู้ทรงคุณวุฒิแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า โครงการสร้างสรรค์สื่อเพื่อการรณรงค์ลดน้ำหนักในเด็กระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก และผลไม้)” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการใช้สื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์ที่หลากหลาย มุ่งใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ด้านสุขภาวะ มีการถ่ายทอดให้เกิดแรงบันดาลใจเพื่อการสื่อสารสุขภาวะ ในหัวข้อ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” โดยให้ความสำคัญกับครูผู้สอน เด็กนักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และชุมชน ในการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning)กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ ได้แก่ นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
“ทั้งนี้ผลการดำเนินงานโครงการ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก และผลไม้)” ปี 2 พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอายุ ส่วนสูง และน้ำหนักของนักเรียนจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ มีการเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ หลังดำเนินโครงการฯ ความสัมพันธ์ระหว่างอายุ ส่วนสูง และน้ำหนักของนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (สมส่วน) เพิ่มขึ้น ท้วมหรืออ้วนสูงลดลงเล็กน้อย ส่วนกลุ่มที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ผอม) ยังคงมีเท่าเดิม ซึ่งโดยภาพรวมการดำเนินงานเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่าย แต่ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานที่มีอยู่บ้าง คือ ผู้รับผิดชอบโครงการจำนวนหนึ่งยังไม่เข้าใจในตัวโครงการฯ อย่างชัดเจน เช่น วัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการฯ วิธีการดำเนินโครงการฯ ผลลัพธ์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ จึงส่งผลให้การจัดทำกิจกรรม สื่อหรือนวัตกรรม ไม่สอดคล้อง ไม่น่าสนใจ ไม่มีเอกลักษณ์ตามบริบทและภูมิสังคมของพื้นที่ รวมทั้งไม่ตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ประการต่อมา ระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ มีอยู่อย่างจำกัด การขอความร่วมมือจากร้านค้าในพื้นที่ ในชุมชน และบริเวณโดยรอบโรงเรียน ยังทำได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้เด็กนักเรียนยังมีช่องทางในการซื้ออาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาบริโภค ส่วนคณะทำงานมีไม่เพียงพอ แต่ละคนมีภารกิจมากเกินไป สุดท้าย คือ ผู้ปกครองและชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่” ดร.ประภาส นวลเนตร กล่าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ดร.ประภาส นวลเนตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปีนี้ได้มีการต่อยยอดและขยายผลไปยังโรงเรียนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 25 แห่ง จาก 22 จังหวัด ใน 4 ภูมิภาค ครอบคลุมนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ประมาณ 1,800 คน ทั้งนี้เราจะพาไปดูกันว่าโรงเรียนที่เป็นต้นแบบใน 25 โรงเรียนนี้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กในโรงเรียนให้ เข้าใจและเท่าทันโรคอ้วน โรงเรียนชุมชนวัดรวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ก็เป็น 1 ในโรงเรียนต้นแบบครั้งนี้
ด้านนายประสงค์ ชูใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนวัดรวง กล่าวว่า ในนิทรรศการโครงการแผน Fit พิชิตอ้วน @ชุมชนวัดรวง ครั้งนี้ทางโรงเรียนได้นำความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมาเข้ามาปรับใช้เริ่มตั้งแต่การจัดให้มีตัวแทนนักเรียนแต่งชุดย่าโมออกศึก พาคณะกรรมการเดินเข้าประตูเมืองโคราช “วันประกาศชัยฟิต พิชิตอ้วน” ที่มีการจำลองให้เกิดขึ้นในโรงเรียน พร้อมทั้งมีการแสดงรำโทน โคราช และจัดนิทรรศการด่านต่างๆ ขึ้นมา อาทิ ด่านที่ 1 กลยุทธ์ชุดออกศึก, ด่านที่ 2 กลยุทธ์ชุดโภชนาการ และด่านที่ 3 กลยุทธ์เร่งฟิตพิชิตอ้วน พร้อมกับมีการแสดงรหัสการปรบมือ แผน Fit พิชิตอ้วน @ชุมชนวัดรวง เพื่อแสดงพลังและประกาศชัยชนะ ฟิตพิชิตอ้วน พร้อมกันทั้งโรงเรียนด้วย เพื่อหวังปลูกฝังการเรียนรู้ ความเข้าใจในเรื่องลดอ้วนอย่างถูกวิธี ถูกต้องตามหลังโภชนาการและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เชื่อว่าไม่นานเด็กๆ ที่โรงเรียนชุมชนวัดรวง นี้จะมีสุขภาพที่ดีไม่อ้วน และไม่ผอมเกินไปอย่างแน่นอน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นางสาวฤทัยรัตน์ ไกรรอด โทรศัพท์ 082-596-9296

ชาวโคราชศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก)

ชาวโคราชศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก)

วันที่ 20 กันยายน2561 ที่โรงแรมวีวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายนฤชาโฆษาศิวไลซ์ นายอำเภอเมือง นครราชสีมา เป็นประธาน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก) จังหวัดนครราชสีมา

 

กรมทางหลวงได้จัดทาแผนพัฒนาทางหลวงระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2550-2559) โดยกำหนดตามทิศทางของการพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาทางหลวงและอำนวยความปลอดภัยในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงงานก่อสร้างทางแยกต่างระดับและได้พิจารณาจัดลาดับความสาคัญในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ สำหรับทางแยก

จุดตัดระหว่างทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก)ตั้งอยู่ในเขตอาเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา มีปัญหาการจราจรคับคั่ง และมีชุมชนหนาแน่นในปัจจุบันได้จัดการจราจรด้วยไฟสัญญาณจราจร ซึ่งไม่สามารถรองรับปริมาณการเดินทางได้อย่างเพียงพอ ส่งผลกระทบต่อกระแสการจราจรบนเส้นทางหลัก (บนถนนมิตรภาพ) และสายรอง (ถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก)

ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทางและติดขัด กรมทางหลวงจึงดาเนินการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทางแยกแห่งนี้ โดยกำหนดให้มีการปรับปรุงทางแยกแห่งนี้ให้เป็นทางแยกต่างระดับเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรโดยในปี พ.ศ. 2557 ได้ดาเนินการสารวจและออกแบบรายละเอียดทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2กับถนนเทศบาล (แยกประโดก) ตามแผนพัฒนาดังกล่าว โดยการดาเนินการประกอบด้วย การสารวจและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมอย่างละเอียดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งในระดับจังหวัดและในพื้นที่และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น จากผลการศึกษาดังกล่าว พบว่า มีแหล่งโบราณสถานอยู่ใกล้แนวถนนของโครงการ ทำให้โครงการเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล

กระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงาน

การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อให้เป็นไปตามมาตร 46 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และเพื่อให้การพัฒนาโครงการเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและประชาชน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการน้อยที่สุดการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพราะมีแหล่งโบราณสถานในระยะ 1กิโลเมตรจากถนนโครงการคืออุโบสถวัดเวฬุนาราม โคกไผ่ ต.หมื่นไวย อ.เมือง อายุกว่า 100ปี ซึ่งโครงการสำรวจและออกแบบทางแยกต่างระดับของสำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวง เลือกรูปแบบทางลอด ช่องจราจรจำนวน6ช่องจราจร ระยะทางรวมของโครงการ 1,750 เมตร ค่าก่อสร้าง 399ล้านบาท โดยจุดเริ่มต้นโครงการกม.149+450ทล.2 (ประมาณโคราชชัยยางยนต์) ส่วนจุดเริ่มต้นทางลอดกม.149+750ทล.2 (บริเวณหน้าแม็คโค) จนไปสิ้นสุดทางลอดที่ กม.150+824ทล.2 (บริเวณคลังสินค้าพันธ์เกษตร) และไปสิ้นสุดโครงการที่กม.151+200ทล.2 (บริเวณหน้าโคราชอินเตอร์มาร์ท)คาดจะเริ่มดำเนินก่อสร้างช่วงต้นปี 2563ใช้เวลา3 ปี องค์ประกอบทางหลวงเพื่อเสริมความปลอดภัยของทางลอด (Underpass) และทางแยก

ประกอบด้วยติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างภายในทางลอดติดตั้งกับเพดานทางลอด (Underpass)ติดตั้งกับผนังทั้งสองด้าน ติดตั้งระบบดับเพลิง ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง และไฟสัญญาณจราจรบริเวณทางแยก และถนนโดยรอบ การก่อสร้างจะดาเนินการก่อสร้างตามแนวเส้นทางสายหลักบนถนนทางหลวงหมายเลข 2(ถนนมิตรภาพ) โดยใช้เขตทางหลวงเดิม 60 เมตรในการก่อสร้าง มีรายละเอียดดังนี้ทางหลวงโครงการระยะทางรวม 1,750 เมตร ภายในทางลอด (Underpass) มีช่องจราจรจานวน 6 ช่องจราจร (ไป – กลับ ข้างละ 3 ช่องจราจร)ความกว้างช่องจราจรช่องละ 3.50 เมตร รูปแบบเกาะกลางกั้นด้วยแท่งปูน (Median Barrier)  ขอบทางกว้าง 1.50 เมตร ความสูงช่องลอด 5.50 เมตร

ก รมทางหลวง จึงว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา อันประกอบด้วย บริษัท เทสโก้ จากัด และบริษัทธารา ไลน์ จากัด ดาเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข2(ถนนมิตรภาพ) กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก) จังหวัดนครราชสีมาทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึง องค์กรเอกชน ผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนทั่วไปที่สนใจในโครงการ ได้มีส่วนร่วมรับทราบข้อมูลและแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง ในระหว่างการดาเนินการศึกษาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง กรมทางหลวงจึงกำหนดให้มีการดาเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียต่อการพัฒนาโครงการ รวมถึงองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่สนใจได้รับทราบข้อมูล และมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นพร้อมให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่อาจจะเกิดจากการพัฒนาโครงการ

ตบสาวไทย ไล่อัด เกาหลีใต้ 3-0 เซต ลิ่วรอบก่อนรองฯ เอวีซี คัพ 2018

นักตบสาวไทย…ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง ไล่อัด เกาหลีใต้ 3-0 เซต

           การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง SMM “เอส-โคล่า” เอวีซี คัพ ครั้งที่ 6 ปี 2018 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 ที่สนามชาติชาย ฮอลล์ จังหวัดนครราชสีมา ทีมชาติไทย ลงสนามนัดที่สอง กลุ่ม เอ พบกับ ทีมชาติเกาหลีใต้

โดยทั้ง ไทย และ เกาหลีใต้ ต่างเอาชนะ ญี่ปุ่น ในนัดแรก ด้วยสกอร์ 3-1 เซต ด้วยกันทั้งคู่ ฉะนั้นเกมนี้ทีมไหนชนะ จะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปด้วยการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม

“โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมไทย ส่ง พรพรรณ เกิดปราชญ์, ทัดดาว นึกแจ้ง, หัตถยา บำรุงสุข, วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, อัจฉราพร คงยศ เริ่มต้น 6 คนแรก โดยมี ปิยะนุช แป้นน้อย กับ สุพัตรา ไพโรจน์ เป็นตัวรับอิสระ

ทางฝั่ง เกาหลีใต้ ใช้งาน ฮา ฮเยจิน, อัน ฮเยจิน, คิม แชยอน, โก เยริม, ฮัน ซูจี และ ฮวัง มินคยอง โดยมี คิม ยอนกยอน เป็นรับอิสระ

เริ่มเกม ทีมไทยเปิดฉกาเกมบุกได้อย่างดุดัน ทำแต้มออกนำตั้งแต่ต้นเกม และปิดเซตได้ 25-18 ถัดมาเซตสองสาวไทยยังรักษามาตรการเล่นยอดเยี่ยม เก็บเซตนี้ได้อีกด้วยคะแนน 25-19 นำห่าง 2-0 เซต

เกมเซตสาม เกาหลีใต้ปรับเกมมาดีขึ้น เป็นฝ่ายทำแต้มออกนำในช่วงต้น 8-5 แต่สาวไทยมารัวแซง 14-8 จนเกาหลีใต้ต้องขอเวลานอก ไทยยังเล่นอย่างมั่นใจทั้งเกมเสิร์ฟและบอลบุก ปิดเกมชนะ 25-17 คว้าชัย 3-0 เซต

สรุปผลการแข่งขัน ไทย ชนะ เกาหลีใต้ 3-0 เซต 25-18, 25-19, 25-17 สาวไทย ชนะ 2 เกมรวดในรอบแรก คว้าแชมป์ของกลุ่ม เอ ส่วน เกาหลีใต้ จบอันดับ 2 ของกลุ่ม

นัดต่อไป ทีมไทย จะลงเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ พบกับ ออสเตรเลีย ในวันที่ 19 กันยายน 2561 เวลา 18.30 น. รับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง ไทยรัฐทีวี

เจ้าภาพโคราชจัดแถลงข่าวการแข่งขันตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561

เจ้าภาพโคราชจัดแถลงข่าวการแข่งขันตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561

วันที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 13.00 นที่บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมาสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทยร่วมกับศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราชจัดงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลกชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561 ขึ้นโดยนายจรัสชัย   โชคเรืองสกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พันเอกวิจิตร  เสือคง ผู้บังคับการกองพันซ่อมบำรุงที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 คุณบุญชัย  หล่อพิพัฒน์  เลขานุการคณะกรรมการจัดการแข่งขันคุณธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม  ผู้แทนบริษัท แกรนด์สปอร์ต กรุ๊ป จำกัด คุณวิทยา  อภินันท์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 โคราชและนักตะกร้อที่จะมาร่วมแถลงข่าวทีมชาย พรชัย เค้าแก้วภัทรพงษ์ ยุพดี ทีมหญิง สมฤดี ปรือปรัก  นิภาถรณี สลุปผลร่วมกันแถลงข่าว

(นายจรัสชัย   โชคเรืองสกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมากล่าว)กระผมรู้สึกปลื้มปิติและภาคภูมิใจยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการบริหารสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทยในฐานะเป็นเจ้าภาพจัดการเพลงขันตะกร้อชิงแชมป์โลกถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว King Cupครั้งที่33ปี 2561ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่การแข่งขันระดับนี้มาจัดที่จังหวัดนครราชสีมาสำหรับ ณ ขนาดนี้เราเตรียมพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันตะกร้อ”คิงส์คัพ” เตรียมพร้อมต้อนรับทัพนักกีฬานานาชาติที่จะมาเยือนเราเล่นความประทับใจรวมถึงการที่พวกท่านทั้งหลายมาพักตลอดระยะการแข่งขันจะให้การต้อนรับแบบอบอุ่นใจถึงความปลอดภัยซึ่งสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งของโดยความสะดวกต่างๆทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันได้เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย

( คุณบุญชัย  หล่อพิพัฒน์  เลขานุการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกล่าว)ผมมีความรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ทางจังหวัดนครราชสีมา โดย ท่านจรัสชัย โชคเรืองสกุล   รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มาจัดการแข่งขันที่จังหวัดนครราชสีมา  ในครั้งนี้ ผมมีความเชื่อมั่นในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีความพร้อมในทุกด้าน ดังนั้นถ้วยพระราชทานจักต้องอยู่ในประเทศไทย และทุกคนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องทีม  ตั้งแต่คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ผู้จัดการทีม, ผู้ฝึกสอน และนักกีฬาต้องผนึกกำลังและสู้อย่างเต็มความสามารถ

และผมก็เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการทำงานของคณะกรรมการจัดการแข่งขันจังหวัดนครราชสีมา ที่จะทำให้การแข่งขันในครั้งนี้เกิดความประทับใจให้กับสมาชิกสหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ และสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึง ว่าจะทำให้การแข่งขันในครั้งนี้ ดีเยี่ยมทั้งใน เรื่อง กฏ, กติกา, การจัดการแข่งขันตลอดจนเรื่องการต้อนรับและบริการอื่นๆ ให้แก่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างที่พำนักอยู่

(นายวิทยา อภินันท์ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราชกล่าวเสริมว่า)ในส่วนของศูนย์การค้าฯเราเองมั่นใจว่าจังหวัดนครราชสีมามีศักยภาพมากพอที่จะรองรับการจัดงานในระดับโลกได้เราจึงได้ปรึกษากับทางสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย และได้จัดให้มีการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลก”คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33ขึ้นที่นี่และขอยืนยันว่าเราจะจัดการแข่งขันให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามเจตนารมณ์ของทางสมาคมฯที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีของเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจในกีฬาตะกร้อจะได้ร่วมเชียร์ให้กำลังใจคัดนักกีฬาไทยถึงขอบสนามฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งการแข่งขันจะแบ่งออกเป็น 10 รายการประกอบด้วยทีมชุดชายชิงถ้วยพระราชทานรัชกาลที่ 10 ซึ่งไทยเป็นแชมป์ 30 สมัย,ทีมชุดหญิงใครเป็นแชมป์ติดต่อกัน 20 สมัย,คู่ชาย,คู่หญิง,ทีมเดียวชาย,ทีมเดียวหญิง,4คนชาย,4คนหญิง,ตะกร้อลอดห่วงสากลชายแล้วตะกร้อลอดห่วงสากลหญิงโดยมี 30 ชาติเข้าร่วมวันที่ 23 ถึง 30 กันยายนนี้อย่าลืมมาร่วมชมร่วมเชียร์นักกีฬาตะกร้อไทยกันที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราชนะครับ”