ตำรวจโคราชแถลงผลการตรวจยึดยาเสพติดพร้อมจับกุมเครือข่าย และ ของกลาง ยาบ้ากว่า 330,000 เเละ ยาเสพติดประเพศอื่นจำนวนมาก

ตำรวจโคราชแถลงผลการตรวจยึดยาเสพติดพร้อมจับกุมเครือข่าย และ ของกลาง ยาบ้ากว่า 330,000

เเละยาเสพติดประเพศอื่นจำนวนมากฃ

        ตำรวจภูธรภาค 3  โดย พล.ต.ท.พูลทรัพย์  ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3, พล.ต.ต.คีรีศักดิ์  ตันตินวะชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3(หัวหน้างานป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด) , พล.ต.ต.อัคราเดช  พิมลศรี  , พล.ต.ต.จิตรจรูญ  ศรีวนิชย์ , พล.ต.ต.ภาณุ   บุรณศิริ  รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๓  (ผู้ช่วยงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด  เร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ การกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ  การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน


เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เฉลิมพระเกียรติ จว.นครราชสีมา จับกุมนายสิดไซยา หรือตู่  ซุมโพนพักดี อายุ 39 ปี สัญชาติลาว และนางสาวเวียงทอง หรือโก๊ะ ไซสงคาม อายุ 34 ปี สัญชาติลาว  พร้อมของกลางสารไอซ์ น้ำหนักประมาณ 2,422 กรัม ข้อหาร่วมกันนำเข้า หรือมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (สารไอซ์) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย พฤติการณ์ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการขนย้ายยาเสพติดจากจังหวัดแถบชายแดน สปป.ลาว เข้าสู่ตอนในกรุงเทพฯ คาดว่าจะใช้เส้นทางถนนมิตรภาพผ่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ จว.นครราชสีมา  จึงได้ตั้งจุดตรวจสัมพันธ์บูรณาการยาเสพติดและความผิดอาญาทั่วไปที่บริเวณถนนมิตรภาพ ตู้ยามหนองงูเหลือม อ.เฉลิมพระเกียรติ ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ขณะปฏิบัติหน้าที่มีรถยนต์เก๋งยี่ห้ออีเกีย สีขาว ทะเบียน(ภาษาลาว) กด 6285 กำแพงนคร มีคนขับกับคนนั่งมาด้านข้าง ท่าทางมีพิรุธ จึงได้แสดงตัวและแสดงสัญญาณให้หยุดรถ เมื่อหยุดรถได้แล้ว จึงเข้าไปตรวจสอบพบบุคคลทั้งสองมาจาก สปป.ลาว จึงขอทำการตรวจค้นภายในรถพบสารไอซ์ จำนวน 1 ถุง อยู่ในกระเป๋าสะพาย วางอยู่บนเบาะนั่งข้างคนขับ และตรวจค้นตัวผู้ชาย พบสารไอซ์ อีกจำนวน 4 ถุง จึงได้ตรวจยึดไว้และนำตัวมาซักถามขยายผลการจับกุม และส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 21.50 น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อย ตชด.227 ร่วมกับ สภ.เขมราฐ  จว.อุบลราชธานี ได้ร่วมกันตรวจยึดยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 198,000 เม็ด ที่เกิดเหตุบริเวณริมท่ากี๊กก๊าด ริมฝั่งแม่น้ำโขงทางทิศตะวันออกของบ้านบุ่งซวย หมู่ 2  ต.เขมราฐ  อ.เขมราฐ  จว.อุบลราชธานี พฤติการณ์ในการตรวจยึดสืบเนื่องจากการจับกุมคดียาเสพติดเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2563 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วารินชำราบ ได้จับกุมตัวนางสาวพนาวัลย์  เกษวัตร อายุ 49 ปี ที่อยู่ 2 หมู่ 1 ถ.ศรีมังคลา ต.เขมราฐ  อ.เขมราฐ  จว.อุบลราชธานี พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 30,000 เม็ด  ต่อมาได้ทำการสืบสวนขยายผลเพื่อทำลายจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าว ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดของท้าวแสง ไม่ทราบนามสกุล บ้านโคกยาว เมืองสองคอน แขวงสะหวันเขต สปป.ลาว  จากการสืบสวนมีข้อมูลการข่าวทราบว่าที่บริเวณริมท่ากี๊กก๊าด ว่าจะมีกลุ่มพ่อค้ายาเสติดคนลาว นำยาเสพติด(ยาบ้า) มาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดคนไทย ในห้วงวันศุกร์ เสาร์ และวันอาทิตย์ ช่วงเวลา  19.00 – 24.00 น.  ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ชุดจับกุมได้เดินทางออกไปดักซุ่ม ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้ง จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.50 น. พบเห็นชายสองคนบนเรือหางยาวขับขี่ลัดเลาะมาตามริมฝั่งแม่น้ำโขง(ฝั่งไทย) มาหยุดเรือที่จุดเกิดเหตุ จากนั้นชายที่นั่งโดยสารมากับเรือได้โยนกระสอบปุ๋ยสีขาว จำนวน 1 ใบ ลงบนฝั่งแล้วขับเรือออกจากฝั่งอย่างเร่งรีบ เจ้าหน้าที่ได้ออกจากจุดซุ่มเพื่อที่จะแสดงตัว แต่ชายทั้งสองได้ขับขี่เรือออกไปอยู่ในเขตแดนฝั่ง สปป.ลาว (จุดเกิดเหตุและจุดที่เจ้าหน้าที่ดักซุ่มห่างกันประมาณ 50 เมตร)  ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจสอบกระสอบปุ๋ยดังกล่าว พบข้างในมีห่อวัตถุสีเหลืองอยู่ในถุงพลาสติกใส จำนวน 33 ห่อ แกะออกดูพบเป็นยาบ้า จำนวน 99 มัด ประมาณ 198,000 เม็ด  เจ้าหน้าที่ได้ซุ่มดูอยู่ประมาณ 30 นาที ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดมาแสดงตัวและมารับกระสอบปุ๋ย จึงได้ร่วมกันตรวจยึดส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วารินชำราบ  จว.อุบลราชธานี ได้ร่วมกันจับกุมท้าวดำสีหาลาด อายุ 24 ปี และท้าวติกเงินทะโพทอง  อายุ 26 ปี  ที่อยู่บ้านเกิง เมืองสองคอน แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 10,000  เม็ด ข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย  พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วารินชำราบ จว.อุบลราชธานี ได้รับแจ้งจากสายลับว่ารู้จักนักค้ายาเสพติดชาวลาวชื่อท้าวดำ  สีหาลาด (ราษฎรชาว สปป.ลาว)  ซึ่งจะทำการค้าขายยาเสพติดทางโทรศัพท์มือถือ และทางเฟสบุ๊ค โดยการโอนเงินค่ายาเสพติดผ่านธนาคาร ชุด ชป.ปส.สภ.วารินชำราบ จึงวางแผนทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดข้ามชาติดังกล่าว  โดยให้สายลับพูดคุยกับท้าวดำเพื่อสร้างความไว้วางใจ จนกระทั่งวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563  ท้าวดำได้นัดพบกับสายลับที่ตลาดถนนคนเดิน อ.เขมราฐ  โดยตกลงจะนำยาบ้ามาขายให้สายลับ จำนวน 5 มัด ราคามัดละ 30,000 บาท สายลับจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ และได้มีการประชุมวางแผนเพื่อจับกุมทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดข้ามชาติทั้งหมด  เมื่อถึงเวลานัดหมายสายลับได้ไปพบท้าวดำ และท้าวติก  ที่ร้านซุ้มต้นคูณหมูกระทะ อ.เขมราฐ  และได้นั่งคุยกันกับท้าวติกๆ ได้โทรศัพท์ติดต่อคนที่จะนำยาบ้าตามที่ตกลงไปส่งมอบให้ที่จุดนัดหมาย ต่อมาเวลาประมาณ 17.33 น.  มีชายไม่ทราบชื่อได้โทรศัพท์นัดหมายจุดวางยากับชุดปฏิบัติการ ที่บริเวณสี่แยกตลาดเจริญศรี  ต่อมาท้าวดำ และท้าวติก ได้ออกจากร้านหมูกระทะ เดินทางไปฮักโขงโฮมสเตย์  ต่อมาเวลา 20.48 น. มีชายไม่ทราบชื่อได้โทรศัพท์บอกชุดปฏิบัติการว่าได้นำยาบ้าจำนวน 5 มัด ตามที่สั่งไว้ไปซุกซ่อนไว้บริเวณโคนเสาป้ายบอกทางไปอำเภอเดชอุดม และจังหวัดศรีสะเกษ ก่อนถึงถนนสี่แยกตลาดเจริญศรี ชุดปฏิบัติการได้ไปตรวจสอบพบของกลาง ซุกซ่อนอยู่บริเวณดังกล่าวจริง  เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการจับกุมตัวท้าวดำและท้าวติกที่ฮักโขงโฮมสเตย์ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์  2563 เวลาประมาณ 21.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เสนางคนิคม  จว.อำนาจเจริญ  ได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์เก๋งชนกับรถจักรยานยนต์ บริเวณถนนชยางกูร หน้าโรงเรียนบ้านนาไร่ใหญ่ ม.15 ต.เสนางคนิคม อ.เสนางคนิคม จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบมีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 คน เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ และมีรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ ไทป์แซด สีบอร์น หมายเลขทะเบียน 2 กน 8127 กทม. ไม่มีผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าของรถ ภายในพบมีกัญชาอัดแท่ง จำนวน 230 ก้อน ชั่งน้ำหนักได้ 229 กิโลกรัม  จากการสอบถามพยานในที่เกิดเหตุเบื้องต้นทราบว่า ได้มีรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า สีขาว มาจอดรับผู้ขับขี่รถดังกล่าวหลบหนีไปจากการตรวจสอบข้อมูลรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า พบว่าระบุผู้ครอบครองชื่อ นายสุธี โจระสา อายุ 53 ปี ที่อยู่ 5 ม.11 ต.ไร่น้อย อ.เมืองอุบลราชธานี จว.อุบลราชธานี วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 เวลาประมาณ 10.30 น. จึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่ ต.ไร่น้อย ตามที่อยู่ดังกล่าว พบ นายสุธีฯ ซึ่งเป็นผู้พิการที่ขา แจ้งว่าได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้กับคนลาวไปนานหลายปีแล้วต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา

ประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน บร 3578 สุรินทร์  นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เสนางคนิคม ไว้ตรวจสอบ และจับกุมนายนายนพรัตน์ คายศรี ผู้ขับรถยนต์กระบะ  โตโยต้า ซึ่งพาผู้ต้องหาหลบหนี และออกหมายจับนายอานัส หรือนัด  บุญชาลี ผู้ขับขี่รถยนต์รถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า เพื่อติดตามจับกุมมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อย ตชด.227 อ.เขมราฐ จว.อุบลราชธานี ได้ร่วมกันจับกุม นายวรเชษฐ์ ไผ่นอก อายุ 37 ปี  ที่อยู่ 94 ม.2 ต.ผาขาว อ.ผาขาว จว.เลย และท้าวพัน โคตรสมบัติ อายุ 33 ปี ที่อยู่บ้านนายูง ม.สองคอน ข.สะหวันนะเขต สปป.ลาว พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 12,000  เม็ด ข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย  พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 27กุมภาพันธ์ 2563 เวลาประมาณ 13.00 น. จนท.ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายลับว่ากลุ่มเครือข่ายยาเสพติดชาวลาวชื่อ ท้าวไก้(ไม่ทราบนามสกุล) ที่อยู่บ้านนายูงม.สองคอน ข.สะหวันนะเขต สปป.ลาว  มีพฤติการณ์ลักลอบนำยาเสพติดส่วนใหญ่เป็นยาบ้าเข้ามาให้กับพ่อค้าชาวไทย ในพื้นที่ อ.เขมราฐ  จว.อุบลราชธานี พฤติการณ์ในการลักลอบท้าวไก้ จะนำยาเสพติดมาวางที่ริมโขงฝั่งไทย และให้ลูกน้องคนไทยที่ไว้ใจกันและมีบ้านอยู่ตามฝั่งโขงนำเอายาเสพติดจากริมน้ำโขงไปวางไว้ตามริมถนนหลวงสายหลักที่มีภูมิประเทศจุดเด่น เช่น ป้ายสัญญาณจราจร หลักกิโลเมตร เสาไฟฟ้า และจะว่าจ้างคนไทย(นักบิน)มารับยาเสพติดไปส่งให้กับพ่อค้าตามที่นัดหมายต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์  2563 เวลาประมาณ 09.00 น.สายลับแจ้งว่า ท้าวไก้ ตกลงขายยาบ้าให้กับสายลับ จำนวน 6 มัด ซึ่งติดต่อกันทางโทรศัพท์โดยท้าวไก้ จะให้ลูกน้องซึ่งเป็นคนไทยนำยาบ้ามาวางไว้ที่จุดนัดหมายบริเวณรินถนนหลวง 202 ระหว่างบ้านดงหนองหลวง-บ้านหลักเขต ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จว.อุบลราชธานี  โดยจะมีลูกน้องของท้าวไก้ มาตรวจนับเงินค่ายาบ้าแล้วจะพาไปเอายาบ้าที่ซุกซ่อนไว้ ชุดจับกุมจึงได้ร่วมประชุมวางแผนเพื่อทำการจับกุมต่อมาเวลาประมาณ 13.21 น. สายลับได้รับโทรศัพท์จากท้าวไก้  ว่านายโอ๋ จะเป็นผู้ไปรับเงินและพาไปเอายาบ้า ที่ซุกซ่อนไว้ และได้นัดหมายสถานที่รับส่งเงิน บริเวณร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านหลักเขต ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จว.อุบลราชธานี จนกระทั่ง เวลา 14.50 น. บริเวณที่เกิดเหตุพบนายโอ๋ยืนรออยู่ ลายลับได้เดินเข้าไปพูดคุย ได้ยืนเงินให้กับนายโอ๋ เมื่อรับเงินนายโอ๋ตรวจนับเงินครบตามจำนวนที่ตกลงกัน จึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์พาไปเอายาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่บริเวณเสาป้ายบอกทางไป อำนาจเจริญ ยโสธร เจ้าหน้าที่ตรวจดูพบว่าเป็นยาบ้าจริง จึงส่งสัญญาณให้ชุดจับกุมเข้าทำการจับกุมและมารถควบคุมตัวชายวัยรุ่นคนดังกล่าวไว้ได้ ผลการตรวจค้นพบวัตถุ 2 ห่อ พันด้วยผ้าเทปสีน้ำตาลจากนั้นได้แกะออกดู เป็นยาบ้า จำนวนห่อละ 3  มัด รวมเป็น 6 มัด จำนวน 12,000 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีน้ำเงินชนิดกดปิด ให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมว่าได้รับการว่าจ้างจากท้าวไก้ ให้มารับเงินค่ายาบ้าจากกลุ่มพ่อค้าไทยที่บริเวณร้านก๋วยเตี๋ยว นายวรเชษฐ์ฯ ถูกควบคุมตัวสมัครใจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับกลุ่มพ่อค้ายาเสพติด ว่ายาบ้าที่เจ้าหน้าตรวจพบเป็นของกลุ่มเครือข่ายท้าวไก้ จนกระทั่งเวลา 15.19 น. ท้วไก้ได้ติดต่อทางโทรศัพท์มายังตน  ได้สอบถามตนว่าเงินค่ายาบ้าที่ให้ไปรับที่บริเวณบ้านหลักเขตครบตามจำนวนไหม และท้าวไก้ให้นำเงินจำนวนนั้นไปให้บริเวณตลาดนัดในวันเสาร์ ที่บ้านบุ่งเขียว อ.ชานุมาน จว.อำนาจเจริญ โดยให้ตนนำเงินใส่ในถุงอาหารแมว  ซึ่งท้าวไก้จะให้ท้าวพันที่มีศักดิ์เป็นบุตรเขย ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับตนเป็นอย่างดีเป็นคนมารับเงิน จนกระทั่งวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563  เวลา 16.00น.  นายวรเชษฐ์ฯ  ได้

เวลา 16.00น.  นายวรเชษฐ์ฯ  ได้พาเจ้าหน้าที่ไปทำการขยายผลบริเวณตลาดนัดวันเสาร์ เวลา 07.00 น. พบเห็นท้าวพันยืนซื้อของใช้ส่วนตัวบริเวณตลาด จากนั้นนายวรเชษฐ์ฯ ได้บอกเจ้าหน้าว่าจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปมอบให้กับท้าวพัน ซึ่งจากนั้นนายวรเชษฐ์ฯ ได้ยื่นถุงอาหารแมวให้กับท้าวพัน  และท้าวพันได้เปิดดู และนำถุงดังกล่าวใส่ลงในตะกร้าพลาสติกที่ตนเองถือติดตัวอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวขอทำการตรวจค้น ขณะควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ได้สอบถาม ท้าวพันฯ ให้ข้อมูลว่าเป็นราษฎรบ้านนายูง ม.สองคอน ข.สะหวันนะเขต สปป.ลาว ได้รับการว่าจ้างจากนางปาน ซึ่งเป็นอาของตน ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดของท้าวไก้  ให้ตนเองมารับเงินค่ายาบ้าจากนายวรเชษฐ์ฯ โดยนั่งเรือหางยาวข้ามมา โดยตนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินเมื่อทำงานสำเร็จ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวก่อน
วันที่ 4 มีนาคม 2563เวลาประมาณ 00.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้จับกุมตัวผู้ต้องหา 3 คน คือ๑.นายศักดาหรือปี๊ด โยรัมย์ อายุ ๒5 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24/1 หมู่ที่ ๑0 ต.แคนดง อ.แคนดง  จว.บุรีรัมย์ ๒.นายพิสิทธิ์หรือต๋อง  ดุงรงค์รัตน์ อายุ ๑8 ปี (เกิด 19 พ.ศ.2544)  อยู่บ้านเลขที่ 46  หมู่ที่ 13 ต.แคนดง  อ.แคนดง จว.บุรีรัมย์  ๓.นายชิวนัสหรือชิว  วินา อายุ ๑๗ ปี (เกิด 23 เม.ย.2545)  อยู่บ้านเลขที่ 116  หมู่ที่ 13 ต.แคนดง อ.แคนดง  จว.บุรีรัมย์ พร้อมของกลาง ยาบ้าจำนวน ๕ มัด (ประมาณ ๑๐,๐๐๐ เม็ด) สถานที่เกิดเหตุ ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จว.บุรีรัมย์ ได้ทำการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม โดยมีสายลับซึ่งได้รับการสั่งการจากนายน้อย ไม่ทราบชื่อสกุลจริง ให้เดินทางมารับยาเสพติด จำนวน 50 มัด และยาไอซ์  เพื่อให้สายลับนำไปวางส่งต่อให้ลูกค้าพื้นที่ จ.บุรีรัมย์   เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้ร่วมสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ เพื่อวางแผนการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดดังกล่าวต่อไป
วันที่ 5 มีนาคม 2563เจ้าหน้าตำรวจ กก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ, สภ.ลืออำนาจ, ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์, ภ.จว.ยโสธร, กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3, ตชด.215, 216 และเจ้าหน้าที่ทหารทก.กกล.สุรนารี พร้อมพวกร่วมกันจับกุมตัว 1.นายศิวานนท์ หรือบาส  ปรากฎ อายุ 19 ปี ที่อยู่ 74 ม.4ต.โคกกลาง อ.ลืออำนาจ จว.อำนาจเจริญ2.นายสุรัช หรือจิ้ม  บุญเรือง อายุ 22 ปี ที่อยู่ 153 ม.3 ต.ไก่คำ อ.เมือง จว.อำนาจเจริญพร้อมของกลาง 1.ยาบ้า จำนวน 50 มัด ประมาณ 100,000  เม็ด 2.สารไอซ์ 2 ถุง น้ำหนัก 275 กรัม 3.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น MU-X สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1คันข้อหา “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1  (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายฯ” สถานที่เกิดเหตุ ถนนชยางกูรบ้านเครือซูด (บริเวณป้ายบ้านกุดสิม) ต.โคกกลาง อ.ลืออำนาจ จว.อำนาจเจริญพฤติการณ์สืบเนื่องจากการจับกุมคดียาเสพติดเมื่อวันที่ 4 มี.ค.63 ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ ที่ได้จับกุมผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 5 มัด (ประมาณ 10,000 เม็ด) จากการจับกุมดังกล่าวได้สืบสวนขยายผล ทำให้ทราบว่ามีนักค้ายาเสพติดชาวลาวมีพฤติการณ์นำยาเสพติดเข้ามาขายตามแนวชายแดนไทย-ลาว และยังส่งไปขายในพื้นที่ตอนในของประเทศ ซึ่งเป็นเครือข่ายของนายน้อย (ชาว สปป.ลาว) ชุดจับกุมจึงวางแผนทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดข้ามชาติ โดยให้สายลับติดต่อกับนายน้อย ราษฎรชาวลาว (ไม่ทราบชื่อสกุลจริง) และนายน้อย ได้ให้สายลับเดินทางมารับยาเสพติด จำนวน 50 มัด (ประมาณ 100,000 เม็ด)และสารไอซ์ 275 กรัม ที่ อ.ลืออำนาจ จว.อำนาจเจริญ  แล้วให้สายลับนำไปส่งต่อให้ลูกค้าพื้นที่ จว.บุรีรัมย์ จึงได้วางแผนจับกุม ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. ผู้ต้องหาได้ขับรถยนต์ยี่ห้ออีซูซู รุ่นมิวเอ็กซ์ สีเทา ไม่ติด
แผ่นป้ายทะเบียน นำยาบ้ามาส่งให้กับสายลับ ที่บ้านเครือซูด (บริเวณป้ายบ้านกุดสิม) ต.โคกกลางอ.ลืออำนาจ จว.อำนาจเจริญ  แล้วขับรถหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขับรถติดตาม และจับกุมตัวผู้ต้องหา ที่ 1,2 ได้ที่บ้านพัก รับสารภาพว่าเป็นคนนำยาบ้า จำนวน 50 มัด (ประมาณ 100,000 เม็ด) และ สารไอซ์ 275 กรัม ไปส่งให้สายลับจริงจากนั้นชุดจับกุมได้ขยายผลไปจับกุมเครือข่ายยาเสพติดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ดังนี้
จุดที่ 1 ที่ ถนนข้างโรงเรียนเสนศิริอนุสรณ์ ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จับกุม
1.นายวีรยุทธ์ หรือนุ  อาจทวีกุล อายุ34 ปี อยู่ที่ 89 ม.2 ต.ห้วยราช อ.ห้วยราช จว.บุรีรัมย์
2.นายบรรพต หรือเป้กอยู่ยอด อายุ 28 ปี อยู่ที่ 53 ม.2 ต.ห้วยราช อ.ห้วยราช จว.บุรีรัมย์
*ของกลาง -ยาบ้า 6,000 เม็ด
-รถจักรยานยนต์  1 คัน
จุดที่ 2 ที่ หลักกิโลเมตรที่ 41  ถนน 2378 ม.5 ต.นิคม อ.เมือง จว.บุรีรัมย์
1.นายอาทิตย์  เหยียดรัมย์ อายุ 19 ปี 151/2 ต.สตึก อ.สตึก จว.บุรีรัมย์
2.น.ส.ดาริน  บุญถนอม อายุ 15 ปี 82/1 ม.2 ต.เมืองแก อ.สตึก จว.บุรีรัมย์
3.นายธนกฤต  ชัยพฤกษ อายุ 39 ปี 136/5 ม.9 ต.นิคม อ.สตึก จว.บุรีรัมย์
*ของกลาง -ยาบ้า 2,000 เม็ด
-รถจักรยานยนต์ 2 คัน
จุดที่ 3 ที่ หลักกิโลเมตรที่ 91ถนน 2226 ม.11 ต.นิคม อ.เมือง จว.บุรีรัมย์
1.น.ส.ตุนา  ผาปรางค์ อายุ 36 ปี 165 ม.1 ต.ขุย อ.ลำทะเมนชัย จว.บุรีรัมย์
2.นายนิติเทพ คำแพง อายุ  ปี 165 ม.1 ต.ขุย อ.ลำทะเมนชัย จว.บุรีรัมย์
3.นายธนทัต  ด้วงขุย อายุ 21 ปี 171/9 ต.สนามบิน เขตดอนเมือง กทม.
*ของกลาง -ยาบ้า 4,000 เม็ด
-รถยนต์กระบะ 1 คัน
-รถจักรยานยนต์ 1 คัน
ตำรวจภูธรภาค 3  จึงขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน และสถานประกอบการทุกแห่ง ในการแจ้งเบาะแส/ข้อมูล ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ในสถานประกอบการฯ และอาศัยสถานประกอบการฯ ในการกระทำผิด โดยแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วนยาเสพติด 1599, สายด่วน 191 และ Application Police I lert U ได้ตลอด 24 ชม. เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และลดปัญหายาเสพติด  ในภาพรวมอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น  เพื่อให้สังคมมีความปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดต่อไป

ผู้ว่าโคราช!!!เชิญชวนนักวิ่งร่วมงาน เดิน-วิ่ง การกุศล อาทิตย์ที่ 16 ก.พ.63 นี้

ผู้ว่าโคราช!!!เชิญชวนนักวิ่งร่วมงาน เดิน-วิ่ง การกุศล อาทิตย์ที่ 16 ก.พ.63 นี้

วันที่  5  กุมภาพันธ์  2563  นายไกรศร  ทองมูลชัย   ผู้อำนวยการโรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์  กำนันประเสริฐ เชยพุดซา  กำนันตำบลพุดซา (ศิษย์เก่า) นายฐิติรัตน์  พงษ์พุทธรักษ์ นายกสมาคมนักข่าว จังหวัดนครราชสีมา (ศิษย์เก่า) พร้อมด้วยคณะ  เข้าพบ นายวิเชียร  จันทรโณทัย  ผู้ว่าราชการจังหวัด นครราชสีมา  เพื่อเรียนเชิญเป็นประธานในการจัดการแข่งขัน  เดิน – วิ่ง การกุศล  BWS RUNNING 2020 พร้อมด้วย  ดร.สุรสิทธิ์  สิงห์หลง  ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมา  ประธานในการมอบเหรียญรางวัล  ในวันอาทิตย์ที่ 16 กุมพาพันธ์ 2563

และขอเชิญชวนทุกท่านร่วมงาน เดินวิ่งการกุศล BWS RUNNING 2020 ในวันอาทิตย์ที่ 16 กุมพาพันธ์ 2563 เวลา 05.00 น. ณ โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ โดยมีประเภทของการแข่งขันแบ่งออกเป็น ประเภท นักเรียน ประชาชนทั่วไป และ VIP
อัตราค่าสมัคร
นักเรียน ระยะทาง 10 กม. 350 บาท
ระยะทาง 6 กม. 250 บาท
บุคคลทั่วไป ระยะทาง 10 กม. 450 บาท
ระยะทาง 6 กม. 300 บาท
VIP 1,000 บาท
*หมายเหตุ นักวิ่งที่ที่เข้าเส้นชัย จะได้รับเหรียญทุกคน
การแข่งขัน มินิมาราธอน ระยะ 10 กม. แบ่งตามอายุ ชาย/ หญิง
(ลำดับที่ 1-5 รับถ้วยรางวัล )
รุ่นอายุต่ำกว่า 15 ปี
รุ่นอายุ 16-30 ปี
รุ่นอายุ 31-40 ปี
รุ่นอายุ 41-50 ปี
รุ่นอายุ 50 ปีขึ้นไป
การแข่งขัน Fun run ระยะ 6 กม. แบ่งตามอายุ ชาย/ หญิง
(ลำดับที่ 1-5 รับเกียรติบัตร )
รุ่นอายุต่ำกว่า 12 ปี
รุ่นอายุ 13-20 ปี
รุ่นอายุ 21-35 ปี
รุ่นอายุ 36-50 ปี
รุ่นอายุ 50 ปีขึ้นไป


เส้นทางการแข่งขัน ระยะทาง 6 กม. เริ่มต้นที่ โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ ผ่านแยกถนนมิตรภาพบายพาส และกลับตัวที่บริเวณ บ.สตาร์เวลล์ เพื่อเข้าเส้นชัยที่ จุดเริ่มต้น
ระยะทาง 10 กม. โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ ผ่านแยกถนนมิตรภาพบายพาส ผ่าน บ.สตาร์เวลล์ ผ่านโรงเรียนตำรวจภูธรภาค 3 กลับตัวที่บริเวณเทศบาลตำบลจอหา เพื่อเข้าเส้นชัยที่ จุดเริ่มต้น
ทั้งนี้ ทางคณะจัดงาน ได้เตรียมจุดบริการน้ำดื่ม เครื่องดื่มเกลือแร่ และรถพยาบาล หน่วยกู้ชีพ ไว้บริการทุกท่านที่เข้าร่วมการแข่งขัน
ท่านที่สนใจ สามารถ สมัครและสอบถามรายละเอียดได้ที่ โรงเรียนบุญเหลือวิทยานุสรณ์ 044 – 000825

 

จังหวัดนครราชสีมาจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวนานาชาติ 2020 ครั้งที่ 1 International Tourism Festival 2020

เทศกาลท่องเที่ยวนานาชาติ2020 ครั้งที่ 1  International Tourism Festival 2020

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2563   เวลา 18.00 น. ณ ลานปารีส Terminal 21 Korat นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดเทศกาลท่องเที่ยวนานาชาติ2020 ครั้งที่ 1  International Tourism Festival 2020 พร้อมด้วย นายแพทย์ วรรณรัตน์ ชาญนุกูล และคณะ ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา มาเป็นผู้กล่าวต้อนรับคณะนักแสดงจาก 10  ประเทศ

การจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวนานาชาติ2020 ครั้งที่ 1 International Tourism Festival 2020   เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดกระแสการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา จึงมีแนวความคิดที่จะจัดกิจกรรมเพื่อต้อนรับนักแสดงนานาชาติ และตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว เผยแผ่อารยะธรรมระดับนานาชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นจิตสำนึกรัก หวงแหนอารยะธรรมไทย และกระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินหมุนเวียนภายในชุมชนสร้างความยั่งยืนให้แก่การท่องเที่ยว

โดยที่ผ่านมา นายกรกฤต วรวงศ์ นายกสมาคมหลักการธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยนางรุ่งทิพย์ บุกขุนทด ผอ.ททท.จังหวัดนครราชสีมา นายศารุมต์ โหม่งสูงเนิน พาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวนานาชาติ ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจัดงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ที่ให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว และโรงแรมจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ ซึ่งสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จึงมีแนวคิดจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว และเผยแผ่วัฒนธรรมระดับนานาชาติ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และจังหวัดนครราชสีมาสำหรับวันงานจะมีการการแสดงโชว์มวยไทย และต่าง ๆ จากผู้ประกอบการในพื้นที่ ร่วมสร้างสีสันให้มีบรรยากาศหลากหลายรูปแบบ โดยใช้ชื่อ งานเทศกาลท่องเที่ยวนานาชาติ 2020 ครั้งที่ 1 ” 1st International Tourism Festival ( ชื่อย่อ ITF )โดยโครงการดังกล่าว จะจัดขึ้นในวันที่ 28 มกราคม ถึง วันที่ 2 กุมภาพันธุ์ 2563 เวลา 10.00-22.00

รมช.พณ.ลงพื้นที่เมืองย่าโม  ปล่อยคาราวานจัดร้าน  Smart โชวห่วย พร้อมเยี่ยมชมธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ  หวัง สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง

รมช.พณ.ลงพื้นที่เมืองย่าโม  ปล่อยคาราวานจัดร้าน  Smart โชวห่วย พร้อมเยี่ยมชมธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ  หวัง สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง

  

วันที่  27 มกราคม 2563  นายวีรศักดิ์  หวังศุภกิจโกศล  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  นำทีมลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา  Kick off ปล่อยคาราวานทีมพัฒนาร้าน  Smart โชวห่วย  ณ  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน  จังหวัดนครราชสีมา โดยมี นายอภินันท์  เผือกผ่อง  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  พร้อมด้วยคณะเป็นผู้กล่าวต้อนรับ

โดยหลังจากที่ท่านได้เป็นประธานในการปล่อยคาราวานแล้ว ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ท่านมีความยินดีที่เห็นถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนด้านการพัฒนาร้านโชวห่วยไปสู่  Smart โชวห่วย ที่ได้กำชับให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  โดยการปล่อยคาราวานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา โดยนำนักศึกษาที่ผ่านการอบรมทีมพัฒนาร้าน Smart โชวห่วย  มาร่วมในการ  จัดร้านและปรับภาพลักษณ์  ให้กับร้านโชวห่วยต่าง ๆ

 

สำหรับการลงพื้นที่  ณ  ร้านโชวห่วยในวันนี้  เพื่อมอบตราสัญลักษณ์ ร้าน Smart โชวห่วยสำหรับติดหน้าร้านเพื่อเป็นเครื่องหมายการันตีสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในการตัดสินใจเดินเข้ามาแบบไม่ลังเล ให้กับร้านโอ๋  ตำบลหนองกระทุ่ม  อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา   ทั้งนี้  จังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ  และมีประชากรมากเป็นอันดับที่  2  ของประเทศ  มีจำนวนกว่า  2.6 ล้านคน (จากข้อมูลกรมการปกครอง) สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมายังพบว่า มีร้านโชวห่วยในจังหวัดที่มีความพร้อมในการพัฒนาเป็น Smart โชวห่วย  จำนวน  4,158 ร้าน  แบ่งเป็นขนาด SS ร้อยละ 62.7  ขนาด S ร้อยละ  19.4 ขนาด M ร้อยละ 13.4 และขนาด L ร้อยละ 4.5

จากนั้น   นายวีรศักดิ์  หวังศุภกิจโกศล  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์   และคณะ จะเดินทางต่อไปเยี่ยมชมสถานดูแลผู้สูงอายุจำนวน  2  แห่ง ในจังหวัดนครราชสีมา เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการอันจะนำไปสู่การผลักดันแนวทางการส่งเสริมธุรกิจดังกล่าวในระดับนโยบายประเทศต่อไป

โคราช!!!เปิดฉากเวทีมิสแกรนด์ 2020 เฟ้นหาสาวงามสู่เวทีระดับประเทศ

เปิดฉากเวทีมิสแกรนด์นครราชสีมา 2020  เฟ้นหาสาวงามเมืองย่าสู่เวทีนางงามระดับประเทศ

กองประกวดมิสแกรนด์นครราชสีมาผู้แทนลิขสิทธิ์โดยบริษัท ดิจิตอล เทเลวิชั่น เน็ทเวิร์ค จำกัด (DN Cable TV) จากกองประกวดมิสแกรนด์ไทยแลนด์ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์โคราช จัดแถลงข่าวการประกวด “มิสแกรนด์นครราชสีมา 2020” ในวันที่ 21 มกราคม 2563 เวลา 17.00 น. ณ วาไรตี้ฮอลล์ ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช โดยได้รับเกียรติจากคุณปิยะฉัตร อินสว่าง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา


คุณณัฏฐินีภรณ์ จันทรโณทัย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา/กลุ่มที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คุณจารุพักตร์ ปราณีตพลกรัง Provincial Director คุณชินาพัฒน์ พิมพ์ศรีแก้ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ บริษัท เดอะมอลล์ราชสีมา จำกัด พร้อมด้วยกลุ่มผู้ร่วมจัดการประกวดมิสแกรนด์นครราชสีมาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้  เวที Miss Grand ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2556 โดยมีวัตถุประสงค์ ค้นหาสาวไทย ที่มีคุณสมบัติทั้งความสวย ความรู้ ไหวพริบ ปฏิภาณและความประพฤติที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคมไทย นอกจากนั้นยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวไทยจึงจัดให้มีกิจกรรมการเก็บตัวในแต่ละจังหวัดทั้ง 77 จังหวัดโดยให้นางงามมีส่วนช่วยในการเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดที่มีการเก็บตัวแบบให้เป็นอย่างเป็นรูปธรรมการประกวดมิสแกรนด์ประจำจังหวัดนครราชสีมาเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฟ้นหาสาวงามตัวแทนจังหวัดนครราชสีมาขึ้นดำรงตำแหน่ง “มิสแกรนด์นครราชสีมา” ไปสู่การประกวดเวทีระดับประเทศ Miss Grand Thailand โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์และตอบสนองแนวนโยบายยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดในเรื่องผ้าไหม ภูมิปัญญาท้องถิ่นอันเลื่องชื่อและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนโดยทั่วไปและเพื่อให้เกิดจิตสำนึกและมีความภาคภูมิใจต่อมาตุภูมิของตนเอง


ภายในงานแถลงข่าวได้เผยถึงสถานที่ในการทำกิจกรรมเก็บตัวมิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 และแฟชั่นโชว์ชุดที่ใช้ในการประกวด อาทิ ชุดกองประกวด ชุดโอเพนนิ่ง และชุดราตรี รวมถึงเปิดตัวสายสะพายถ้วยรางวัลพร้อมมงกุฎประจำตำแหน่ง “มิสแกรนด์นครราชสีมา2020” โดยเริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่  1 ธันวาคม 2562 ถึง 30 มกราคม 2563 ระบุวันประกาศผลผู้ผ่านเข้าประกวดรอบคัดเลือกในวันที่  8 กุมภาพันธ์ 2563 ระยะเวลาการเก็บตัวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์-17 กุมภาพันธ์ 2563 และการประกวดในรอบตัดสินจะมีขึ้นในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์โคราช
รางวัลของผู้ที่ได้รับตำแหน่งผู้ที่ได้รับตำแหน่งชนะเลิศมิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 จะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมมงกุฎ สายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ
รองอันดับที่ 1 มิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 จะได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมสายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ
รองอันดับที่ 2 มิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมสายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ
ตำแหน่ง Best Evening Gown ในการประกวดมิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมสายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ
ตำแหน่ง Best In Swimsuit ในการประกวดมิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมสายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ
ตำแหน่ง Miss Popular Vote ในการประกวดมิสแกรนด์นครราชสีมา 2020 จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมสายสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศ (สำหรับผู้ที่มียอด Like & Share สูงสุดในเพจมิสแกรนด์นครราชสีมา 1 Like เท่ากับ 1 คะแนน 1 Share เท่ากับ 3 คะแนน)  ตำแหน่งขวัญใจชาวโคราช Miss Grand Nakhon Ratchasima 2020 จะได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมสะพาย ถ้วยรางวัลเกียรติยศนอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษจากผู้สนับสนุนอีกมากมาย
คุณสมบัติของผู้เข้าประกวด ดังนี้
1. มีสัญชาติไทย โดยเกิดในประเทศไทย หรือได้รับการเปลี่ยนสัญชาติเป็นสัญชาติไทยแล้ว
2. เพศหญิงโดยกำเนิด
3.ส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 167 เซนติเมตร
4.อายุระหว่าง 17-27 ปี (ผู้ที่เกิดระหว่าง ปี พ.ศ.2535-2546)
5.มีบุคลิกดี กิริยาท่าทางดี เฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ มนุษยสัมพันธ์ดี มีรูปร่างหน้าตางดงาม
6.โสด ไม่เคยผ่านการสมรสตามกฎหมายหรือขนบธรรมเนียมประเพณีหรือพิธีกรรมทางศาสนา หรือพิธีการใดๆ ทั้งในและต่างประเทศ และไม่เคยมีบุตรหรือตั้งครรภ์มาก่อนจนถึงและในระหว่างการประกวด Miss Grand Thailand รวมทั้งในระหว่างการดำรงตำแหน่งใดๆ ในการประกวด Miss Grand Thailand (กรณีได้รับตำแหน่ง)
7.ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมหรือประกอบอาชีพผิดกฎหมายหรือมีความประพฤติหรือประวัติความประพฤติอันเป็นที่รังเกียจของสังคม อาทิเช่น การถ่ายภาพนิ่ง วีดีโอ หรือการโชว์เรือนร่างในลักษณะอื่นใด อันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่ตำแหน่งใดๆ ในการประกวด Miss Grand Thailand
8.กำลังศึกษาหรือสำเร็จการศึกษา ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมปลายหรือเทียบเท่า
9.มีสุขภาพดี ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคที่สังคมรังเกียจ และหรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความงาม
10.มีความสามารถพิเศษ ที่โดดเด่น หรือ เห็นได้ชัด และ/หรือ มีทักษะในการสื่อสารทั้งภาษาไทยหรือภาษาต่างๆได้ดี 11. มีคุณธรรม และ จริยธรรม รวมถึงพฤติกรรมที่เหมาะสม กับการเป็นตัวอย่างให้แก่เยาวชน ที่ดี
หลักฐานในการรับสมัคร มีดังนี้ 1.ใบสมัครของทางกองประกวด กรอกรายละเอียดให้ครบถ้วน  2. รูปถ่ายขนาดโปสการ์ด (เห็นหน้าชัดเจน) จำนวน 2 ใบ 3.สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 2 ฉบับ 4. สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 2 ฉบับ 5.สำเนาสูติบัตร จำนวน 2 ฉบับ 6.สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ/นามสกุล(ถ้ามี) จำนวน 2 ฉบับ 7.หลักฐานการศึกษา/หลักฐานการสำเร็จการศึกษา/หนังสือรับรองการทำงาน จำนวน 2 ฉบับ
ผู้ที่สนใจเข้าประกวดสามารถติดต่อขอรับรายละเอียดและซื้อใบสมัครได้ที่ กองประกวดมิสแกรนด์นครราชสีมาตั้งอยู่ที่ บริษัท ดิจิตอล เทเลวิชั่น เน็ทเวิร์ค จำกัด (DN Cable TV) ตรอกสุขสันต์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30000 หรือดาวน์โหลดใบสมัครและระเบียบการได้ที่ Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/missgrandnakhonratchasima พร้อมส่งหลักฐานการสมัครและหลักฐานการโอนเงินได้ที่ koratmissgrand@gmail.com หรือ เพจมิสแกรนด์นครรราชสีมา

แม่ทัพภาคที่2  เชิญชวนระดมทุนของมูลนิธิโรงพยาบาลค่ายสุรนารีจัด คอนเสิร์ตการกุศล โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย 8 ชั้น

แม่ทัพภาคที่2  เชิญชวนระดมทุนของมูลนิธิโรงพยาบาลค่ายสุรนารีจัด คอนเสิร์ตการกุศล โครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย 8 ชั้น

วันที่ 9 ม.ค. 63 ณ โรงพยาบาลค่ายสุรนารี ห้องราชาวดี ชั้น 9  อาคาร.เฉลิมพระเกียรติฯ แถลงข่าวการจัดจัดงาน Open house โดย ท่าน  พลโท ธัญญา เกียรติสาร แม่ทัพภาคที่2  นายวิเชียร จันทรโณทัยผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา , นาง ณัฏฐินีภรณ์ จันทรโณทัย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา พลตรี สุรศักดิ์ ถนัดศีลธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ร่วมแถลงข่าว

พลตรี สุรศักดิ์ ถนัดศีลธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี กล่าววัตถุประสงค์ของการจัดงาน  การจัดงาน Open house ในวันนี้ เพื่อต้องการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีเกียรติได้รับทราบถึงศักยภาพของโรงพยาบาลค่ายสุรนารีในการดูแลรักษาท่านและครอบครัว และเพื่อขอโอกาสให้ท่านได้สนับสนุนการให้บริการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ได้แก่ การสนับสนุนเงินบริจาคเข้ามูลนิธิโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อใช้ในการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นให้มีความทันสมัยและเพียงพอต่อการขยายบริการเฉพาะทางแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาได้อย่างต่อเนื่อง กระผมและโรงพยาบาลค่ายสุรนารีขอเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพของท่านผู้มีเกียรติ และเป็นทางเลือกสำหรับผู้มีจิตศรัทธาในการบริจาคเพื่อต่อยอดการบริการทางการแพทย์ เพื่อประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาอย่างยั่งยืน

ท่านแม่ทัพกล่าวโรงพยาบาลค่ายสุรนารีเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ฝากการบังคับบัญชาไว้กับกองทัพภาคที่2 โดยมีภารกิจสนับสนุนบริการทางการแพทย์แก่กำลังพล , ครอบครัวและประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ตลอดถึงจังหวัดใกล้เคียง  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โรงพยาบาลค่ายสุรนารีเปิดให้บริการทางการแพทย์ทั้งในส่วนกำลังพล ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ซึ่งผู้ป่วยที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี คิดเป็นสัดส่วนแล้วเป็นประชาชนมากกว่ากำลังพลทหารและครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นโรงพยาบาลกองทัพบกที่มีผู้ป่วยศรัทธาและไว้วางใจมารับบริการด้านการแพทย์เป็นจำนวนมาก  ดังนั้นทางโรงพยาบาลค่ายสุรนารีจึงได้มีแผนในการสร้างอาคารตึกใหม่ เพื่อเปิดให้บริการผู้ป่วยอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องมีควบคู่กับอาคาร ก็คือเครื่องมือแพทย์ต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะช่วยให้การดูแลรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  ด้วยเหตุนี้จึงได้เชิญชวนภาคเอกชน คหบดี และผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ได้พิจารณาให้การสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ท่านอาจบริจาคเป็นเงินหรือบริจาคในรูปแบบเครื่องมือแพทย์ให้กับทางโรงพยาบาลค่ายสุรนารี เพื่อให้มีไว้ใช้บริการให้กับประชาชนที่เจ็บป่วยในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง

ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  กล่าว กระผมจึงขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนและแขกผู้มีเกียรติ และผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านได้เห็นถึงความจำเป็นในการสนับสนุน ระดมทุนของมูลนิธิโรงพยาบาลค่ายสุรนารีในครั้งนี้ การบริจาคของท่านจะช่วยให้โรงพยาบาลค่ายสุรนารี มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ครบครันและเป็นโรงพยาบาลในพื้นที่ ที่สามารถให้การดูแลสุขภาพของท่านและครอบครัวได้ดี โดยที่ไม่ต้องออกไปรับบริการที่โรงพยาบาลนอกพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา กระผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วนในจังหวัดนครราชสีมาจะให้ความร่วมมือประสานงานและบูรณาการ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาของพวกท่านตลอดไป

นายกเหล่ากาชาด กล่าวจังหวัดนครราชสีมาในนาม นายกเหล่ากาชาด จังหวัดนครราชสีมา โรงพยาบาลค่ายสุรนารีได้ให้ความร่วมมือในกิจกรรมของกาชาดจังหวัดนครราชสีมาด้วยดีมาตลอด ได้แก่การออกรับบริจาคโลหิตช่วยเหล่ากาชาดนครราชสีมาโรงพยาบาลได้สนับสนุนบุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์รับบริจาคโลหิตและงานด้านสาธารณะสุข อื่นๆของเหล่ากาชาดเพื่อให้ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา มีสุขภาพ ที่ดี มีโลหิต ที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วย ในกรณีฉุกเฉินโรงพยาบาลค่ายสุรนารีจึงเป็นสถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมาที่มีความพร้อมในการให้บริการประชาชน ดิฉันขอเป็นส่วนหนึ่งในการขอความร่วมมือ จากท่านผู้มีเกียรติในที่นี้ ในการสนับสนุนการบริจาคเข้ามูลนิธิ โรงพยาบาลค่ายสุรนารี  เพื่อนำไปจัดหาสิ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการบริการประชาชนของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นการช่วยแบ่งเบากิจกรรมของเหล่ากาชาดอีกทางหนึ่ง     ต่อจากนั้นท่านแม่ทัพภาคที่2ได้เยี่ยมชมตึกอาคารผู้ป่วยชั้น8โดยได้เดินทางไปห้องพิเศษอีกด้วยแล้วจีงเดินทางกลับ

ขอเชิญร่วมงานปิดทองฝังลูกนิมิต ณ วัดลองตอง ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ในวันที่ 28 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 6 มกราคม 2563

ขอเชิญพุทธศานิกชนทุกท่าน ร่วมเป็นเจ้าภาพ ทอดผ้าป่าสามัคคี งานผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิต ณ วัดลองตอง  ต.บ้านโพธิ์  อ.เมือง จังหวัดนครราชสีมา

ระหว่างวันที่  28  ธันวาคม 2562  ถึงวันที่ 6 มกราคม 2563  9 วัน  9 คืน

            

มทส. ร่วมกับ กระทรวงเกษตรฯ จัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ปี 63 ชูแนวคิด“นวัตกรรมเกษตรไทยยิ่งใหญ่ ด้วยศาสตร์พระราชา” พบความก้าวหน้าทางการเกษตร เพื่อสร้างวิสาหกิจชุมชนที่ยั่งยืน

มทส. ร่วมกับ กระทรวงเกษตรฯ จัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ปี 63 ชูแนวคิด“นวัตกรรมเกษตรไทยยิ่งใหญ่ ด้วยศาสตร์พระราชา”พบความก้าวหน้าทางการเกษตร เพื่อสร้างวิสาหกิจชุมชนที่ยั่งยืน

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และจังหวัดนครราชสีมา จัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2563 ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมเกษตรไทย ยิ่งใหญ่ด้วยศาสตร์พระราชา (Sustainable Thai Agriculture Innovation under The King’s Philosophy)” วันที่ 10-19 มกราคม 2563 ณ เทคโนธานี มทส. ระดมภาครัฐและเอกชนร่วมแสดงศักยภาพเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ การถ่ายทอดศาสตร์แห่งพระราชา การประกวดพืชและสัตว์ การอบรมอาชีพ พร้อมเผยแพร่ความสำเร็จของกลุ่มเกษตรกรต้นแบบหวังต่อยอดการสร้างวิสาหกิจชุมชนที่ยั่งยืน

วันนี้ (26 ธันวาคม 2562) รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดี ร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.หนึ่ง เตียอำรุง คณบดีสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. นางศศิธร กาหลง ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นายกังสดาล สวัสดิ์ชัย เกษตรจังหวัดนครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวการจัด “งานวันเกษตรแห่งชาติ ประจําปี 2563” ณ อาคารเกษตรภิวัฒน์ มทส.
รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดี มทส. กล่าวว่า “งานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2563 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมเกษตรไทย ยิ่งใหญ่ด้วยศาสตร์พระราชา (Sustainable Thai Agriculture Innovation under The King’s Philosophy)” ระหว่างวันที่ 10 – 19 มกราคม 2563 ณ เทคโนธานี ซึ่งมหาวิทยาลัยได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรด้านการเกษตรภาคเอกชน ได้ร่วมจัดงานแสดงเทคโนโลยีทางการเกษตรครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งมีรากฐานความมั่นคงด้านเกษตรมาช้านาน การจัดงานครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และเผยแพร่พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรของพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์จักรี ให้เป็นที่ประจักษ์ รวมถึงการแสดงศักยภาพของเกษตรกรไทยที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ การแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมทางการเกษตรของ มทส. ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ นอกจากนี้ ยังเป็นปีที่ตรงกับวาระแห่งการเฉลิมฉลองการสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ครบ 30 ปี ที่จะถึงนี้ จึงถือเป็นกิจกรรมใหญ่ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวมหาวิทยาลัย และจังหวัดนครราชสีมาอีกวาระหนึ่ง
มทส. มีการจัดการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร มีผลงานวิจัยและนวัตกรรม การบริการวิชาการแก่ชุมชน เกษตรกร และผู้ประกอบการด้านการเกษตร ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียงเสมอมา โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมานั้นถือว่า มีพื้นที่ทางการเกษตรขนาดใหญ่ ทั้งการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น มันสำปะหลัง ข้าว และอ้อย รวมถึงการเลี้ยงปศุสัตว์ ตั้งแต่ระดับเกษตรกรรายย่อยจนถึงระดับสถานประกอบการด้านอุตสาหกรรมการเกษตร ดังนั้น ในการจัดงานครั้งนี้จึงเป็นการเผยแพร่ความรู้และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้แก่เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจทั่วไป โดยการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างองค์กรวิจัย สถาบันการศึกษา องค์กรด้านการเกษตรของภาครัฐและภาคเอกชน ในรูปแบบบูรณาการทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง คุณภาพดิน เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร และเทคโนโลยีอาหาร มีการเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านเทคโนโลยีการเกษตร ตลอดจนการประกวดพืช สัตว์ ผลิตผลทางการเกษตร และการจำหน่ายปัจจัยการผลิตและผลิตผลทางการเกษตร จากประสบการณ์ที่ได้มีโอกาสจัดงานมหกรรมใหญ่ทั้งระดับชาติ และนานาชาติของมหาวิทยาลัย มทส. พร้อมต้อนรับผู้เข้าร่วมชมงานจากทั่วทุกภูมิภาค
นอกจากนี้การจัดงานดังกล่าวยังตรงกับช่วงการจัดงานวันเด็กแห่งชาติด้วย ซึ่ง มทส. จัดขึ้นภายใต้แนวคิด เส้นทางแห่งการเรียนรู้…สู่อนาคตของชาติ : STEM Career in Life Science” ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 08.30 น. ณ อาคารสุรพัฒน์ 2 ซึ่งผู้มาเที่ยวชมงานก็จะได้รับทั้งความรู้ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ชมชิมช้อปสินค้าทางการเกษตร บุตรหลานได้ร่วมกิจกรรมสนุกสนานแฝงสาระความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรียกได้ว่ามาที่เดียวเที่ยวได้ทั้งครอบครัว”
ศาสตราจารย์ ดร.หนึ่ง เตียอำรุง คณบดีสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. เปิดเผยว่า “งานวันเกษตรแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 10 – 19 มกราคม 2563 มหาวิทยาลัยได้จัดสรรใช้พื้นที่บริเวณเทคโนธานี กว่า 600 ไร่ เพื่อการจัดแสดงนิทรรศการภายในและภายนอกอาคาร อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติ นิทรรศการ Highlight ผลงานวิจัยและนวัตกรรรมเด่นของมหาวิทยาลัย ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เช่น ระบบน้ำอัจฉริยะ ไก่โคราช เครื่องกำจัดแมลงศัตรูพืชสำหรับเกษตรแม่นยำผ่านระบบไร้สาย ผลิตภัณฑ์ข้าวขึ้นรูปเสริมโภคชนาการ เทคโนโลยีในการแยกเพศอสุจิโคนม เครื่องกำจัดแมลงศัตรูพืชสำหรับเกษตรแม่นยำผ่านระบบสื่อสารไร้สาย เป็นต้น รวมถึงการผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีผลิตพืช สัตว์ และเทคโนโลยีอาหารของมหาวิทยาลัย
การประกวดและแข่งขัน อาทิ การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับอาชีวศึกษา การจัดประกวดแข่งขัน ทั้งด้านพืชและสัตว์ เช่น ประกวดต้นชวนชม กล้วยไม้ ประกวดโค ไก่แจ้สวยงาม เป็นต้น การอบรมทางด้านการเกษตร ที่สร้างอาชีพ เสริมรายได้ และเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่น่าสนใจหลายหัวข้อ อาทิ การผลิตกัญชาเชิงคุณภาพเพื่อประโยชน์เชิงการแพทย์และเชิงธุรกิจ การแสดงบันเทิงบนเวทีกลาง ลานพลาซ่า มีศิลปิน นักร้อง วงดนตรี การแสดงพื้นถิ่นที่มีชื่อเสียงร่วมให้ความบันเทิงตลอดงาน อาทิ เบิ้ล ปทุมราช เอิร์น เดอะสตาร์ หรือ เอิร์น สุรัตน์ติกานต์ และวงดนตรีพื้นบ้านระเบียบวาทะศิลป์ และอื่นๆ อีกมากมาย
พร้อมนี้ มหาวิทยาลัยได้เปิดฟาร์ม ให้เข้าชมโดยรถราง พร้อมสนุกฝึกปฏิบัติตามฐานต่างๆ ที่ให้ความรู้ พร้อมความสนุกสนาน และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฟาร์มมหาวิทยาลัย ชม ชิม ช้อป ผลิตภัณฑ์สินค้าทางการเกษตร สินค่าอุปโภคบาริโภคหลากหลาย
นางศศิธร กาหลง ผู้อำนวยการกองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า “ในปีนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชูนิทรรศการศาสตร์แห่งพระราชาซึ่งถือเป็นไฮไลท์ โดยแบ่งเป็นนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 นําเสนอนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย” และ “พระบิดาแห่งฝนหลวง” นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ได้ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อส่งเสริมด้านการเกษตรกรรมอันเป็นอาชีพหลักของปวงชนชาวไทยตลอดมา อันเป็นการสานต่อพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9

สำหรับนิทรรศการภาควิชาการ นําเสนอความสําเร็จของกลุ่มเกษตรกร เช่น กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ที่ชนะเลิศการแข่งขันระดับประเทศ รายการแข่งขันเกมเกษตรกร รวมถึงการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในภาคเกษตร เช่น โดรนพ่นสารชีวภัณฑ์ โดรนสํารวจเพื่อทําแผนที่การบริหารจัดการน้ำ การทําอาชีพเสริมต่าง ๆ อาทิ การเพาะเลี้ยงปลานิลครบวงจร การเลี้ยงปลานิล ปลาตะเพียน และกบในนาข้าว การส่งเสริมการเลี้ยงโคนม นําไปสู่การแสดงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถ นํามาปรับใช้ในจังหวัดนครราชสีมา และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น กิจกรรมสาธิตและฝึกอบรม ให้ความรู้ควบคู่การปฏิบัติจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และซุ้มจําหน่ายสินค้าของเกษตรและผลิตภัณฑ์จากภาคต่างๆ อีกมากมาย”
นายกังสดาล สวัสดิ์ชัย เกษตรจังหวัดนครราชสีมา กล่าวทิ้งท้าย “ถือเป็นโอกาสอันดีที่จังหวัดนครราชสีมาซึ่งมีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีเนื้อที่ทั้งหมด 12.8 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตร 8.9ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 69.53 ของพื้นที่จังหวัด ประชากรประกอบอาชีพทางการเกษตร 3 แสนกว่าครัวเรือน ผลิตภัณฑ์มวลรวมทางด้านการเกษตร กว่า 270 ล้านบาทต่อปี การจัดงานเกษตรแห่งชาติ ในปี 2563 ที่จะถึงนี้ ไม่เพียงจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านการเกษตรของพี่น้องเกษตรกรและประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาเท่านั้น ยังเป็นโอกาสให้พี่น้องเกษตรกรในจังหวัดใกล้เคียง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ร่วมงาน ได้มีโอกาสแสดงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรหลักๆ วิสาหกิจชุมชน เข้ารับการอบรม เพื่อนำไปเสริมทักษะพัฒนาสายอาชีพให้ยั่งยืน ชมความก้าวหน้าทางการเกษตรที่รุดหน้า คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดในช่วงต้นปีได้อย่างดี ทั้งยังเป็นการเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการอย่างกว้างขวาง เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ นวัตกรรม และความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการเกษตรครบวงจร

โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาโคราช  เปิดบ้านโชว์แหล่งเรียนรู้ด้านพลังงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง

 

https://www.youtube.com/watch?v=UYMUdbCAC28&feature=youtu.be

 

 

โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาโคราช  เปิดบ้านโชว์แหล่งเรียนรู้ด้านพลังงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง

โครงการโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาโรงไฟฟ้า เครื่องที่ 3-4 โรงไฟฟ้าใต้ดินที่มีระบบกักเก็บพลังงานแบบ pump storage ที่ไม่เหมือนใครของ กฟผ. เตรียมจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2562 เพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานของประชาชนในภาคอีสาน
นอกจากภารกิจในการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนแล้ว กฟผ.ยังเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ โดยจัดสร้างศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง แหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานนอกห้องเรียนและแหล่งท่องเที่ยวให้กับประชาชนใน จ.นครราชสีมา และพื้นที่ใกล้เคียง

1.โรงไฟฟ้าลำตะคองฯ เครื่องที่ 1-2 (ตัวเดิมที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว)

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่ใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในประเทศไทย มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี กฟผ. จึงพิจารณานำเทคโนโลยีที่ทันสมัย คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ มาสร้างโรงไฟฟ้าในภาคนี้เป็นแห่งแรกของประเทศไทย

โรงไฟฟ้าพลังน้ำลำตะคองฯ แบบสูบกลับ สร้างอยู่ใกล้กับเขื่อนลำตะคอง ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมาประมาณ 70 กิโลเมตร ทำงานโดยการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคองของกรมชลประทานไปเก็บไว้ที่อ่างพักน้ำบนเขายายเที่ยง ในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าน้อยหรือช่วงกลางคืนถึงเช้า และเมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงในช่วงกลางวันถึงค่ำ จะปล่อยน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้า และปล่อยลงอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคองเหมือนเดิม
ตัวอาคารโรงไฟฟ้า ถูกสร้างไว้ใต้ระดับผิวดินลึกกว่า 350 เมตร เพื่อเพิ่มระยะทางจากอ่างเก็บน้ำบนเขาถึงอาคารโรงไฟฟ้าให้น้ำที่ไหลลงมามีกำลังแรงขึ้น ทำให้โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เป็นโรงไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จและนำไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเมื่อปี พ.ศ. 2547

2.โครงการโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เครื่องที่ 3-4 (เตรียมเข้าระบบ) เน้นหัวข้อนี้***

ที่ตั้งโครงการ ณ บริเวณเส้นแบ่งเขตระหว่างอำเภอสีคิ้วและอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
เป็นโรงไฟฟ้าประเภทสูบกลับ โดยมีกำลังผลิตเครื่องละ 250 เมกะวัตต์ กำลังผลิตรวม 1,000 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บริเวณเส้นแบ่งเขตระหว่าง อ.สีคิ้ว และ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

โรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนามีส่วนช่วยเสริมกำลังผลิตในระบบไฟฟ้า ช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง เพราะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อพ้นหลังเที่ยงคืนไปแล้วความต้องการใช้ไฟฟ้าจะลดต่ำลง จึงสามารถนำไฟฟ้าที่เหลือในระบบใช้สูบน้ำไปเก็บกักสำรองไว้ที่อ่างพักน้ำบนเขายายเที่ยง และจะทำการปล่อยน้ำลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคองเหมือนเดิมเมื่อมีความต้องการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ ทำให้ระบบไฟฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเสถียรและมั่นคงมากขึ้น
นับเป็นโรงไฟฟ้าใต้ดินที่มีระบบกักเก็บพลังงานอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า เนื่องจากมีการหมุนเวียนของปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคอง และอ่างพักน้ำตอนบนโดยไม่สูญหายไปไหน
เพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบริเวณใกล้เคียงอันเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเป็นพลังงานหมุนเวียนสะอาด

โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เครื่องที่ 3-4 เตรียมพร้อมส่งจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนธันวาคม 2562
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2951&Itemid=244

3.ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ.ลำตะคอง

กฟผ.นอกจากจะมีภารกิจหลักในการผลิต จัดหา และส่งไฟฟ้าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด โดยเฉพาะการเรียนรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าซึ่งอยู่ใกล้ตัวประชาชนทุกคน
โดยสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานนอกห้องเรียน และแหล่งท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จุดเด่นคือ เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนที่ได้นำไฟฟ้าจากกังหันลมมาใช้ในศูนย์แห่งนี้

ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง (EGAT Learning Center, Lam Takong)

ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง ครบเครื่องที่สุดในภาคอีสาน

https://th-th.facebook.com/pages/category/Performance—Event-Venue/%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89-%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%87-241238739792029/

https://www.youtube.com/watch?v=UYMUdbCAC28&feature=youtu.be

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จัดพิธีลงนามความร่วมมือ และการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2563

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จัดพิธีลงนามความร่วมมือ และการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2563 

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม ดร.เศาวนิตเศาณานนท์โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร เนาวนนท์อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นประธานในพิธี พร้อมลงนามร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.มังกร โรจน์ประภากร ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) และมีคณะผู้บริหารคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จัดพิธีลงนามความร่วมมือ และการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ ส.ส.ท. ชิงแชมป์ประเทศไทย ประจำปี 2563


มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาจะจัดขึ้นในวันที่ 27-28 เมษายน 2563 ณ หอประชุมใหม่ เพื่อเฟ้นหาตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งวัตถุประสงค์และบทบาทหน้าที่ร่วมมือกัน คือ ส่งเสริมความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสร้างทักษะความเชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้แก่เยาวชน สนับสนุนการใช้ทรัพยากรการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ร่วมกัน เช่น อาคารสถานที่ ห้องประชุม และสถานที่จอดรถ ซึ่งบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ มีระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป


โดยจะ จัดขึ้นในวันที่ 27-28 เมษายน 2563ในรอบคัดเลือก ณ หอประชุมใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาเพื่อเฟ้นหาตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี ซึ่งวัตถุประสงค์และบทบาทหน้าที่ร่วมมือกัน คือ ส่งเสริมความรู้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสร้างทักษะความเชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติให้แก่เยาวชน สนับสนุนการใช้ทรัพยากรการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ร่วมกัน เช่น อาคารสถานที่ ห้องประชุม และสถานที่จอดรถ ซึ่งบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ มีระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามอีกด้วย